คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือยินยอมให้ทำการปลูกสร้างอาคารร่วมผนังซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ส. เจ้าของที่ดินเดิมในการก่อสร้างอาคารชิดแนวเขตที่ดินของตนและใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กกับผนังอาคารด้านติดกันร่วมกัน แม้จะมีเฉพาะฐานรากใต้ดินเท่านั้นที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของ ส. ซึ่งเกิดจากจำเลยกระทำไปตามข้อตกลงในหนังสือยินยอมดังกล่าว ดังนั้นแม้จะมีส่วนที่รุกล้ำอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อ ส. เมื่อโจทก์ทั้งสองรับโอนที่ดินของ ส. มาในสภาพที่มีการรุกล้ำอยู่ก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเกี่ยวกับการรุกล้ำดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนฐานรากและเหล็กเส้นที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ หากไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 3,000 บาท
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนฐานรากและเหล็กเส้นที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หนังสือยินยอมให้ทำการปลูกสร้างอาคารร่วมผนัง เป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายสมพรเจ้าของที่ดินเดิม ในการก่อสร้างอาคารชิดแนวเขตที่ดินของตนและใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กกับผนังอาคารด้านติดกันนั้นร่วมกัน โดยการปลูกสร้างอาคารนั้นฐานรากจะวางไว้ตรงกึ่งกลางแนวเขตที่ดินทั้งสองฝ่ายและผนังอาคารที่ก่อสร้างก่อนจะต้องมีเหล็กยื่นออกมาเพื่อให้ผู้ที่จะก่อสร้างภายหลังได้ผูกเหล็กยึดเพื่อหล่อเป็นคาน มีเฉพาะฐานรากใต้ดินเท่านั้นที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายสมพร และเป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับฐานรากและเหล็กฐานที่งอกเงยออกมาจากอาคารตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองนั้น ได้ความว่า เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยซื้อมาจากภรรยาและทายาทผู้รับมรดกของนายสมพรเจ้าของที่ดินเดิมประสงค์จะสร้างอาคารพาณิชย์จึงได้ให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเทฐานรากเพื่อทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ปรากฏว่าพบฐานรากอาคารตึกของจำเลยรุกล้ำเข้ามา ด้านบนของอาคารตึกมีเหล็กเส้นงอกเงยออกมาซึ่งเกิดจากจำเลยที่ 2 กระทำไปตามข้อตกลง ดังนั้นแม้จะมีส่วนที่รุกล้ำอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นการทำละเมิดต่อนายสมพร เมื่อโจทก์ทั้งสองรับโอนที่ดินของนายสมพรมาในสภาพที่มีการรุกล้ำอยู่ก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับการรุกล้ำดังกล่าวที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนจำเลยที่ 1 ที่ 2.

Share