แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกโจทก์ฟ้องให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกัน แม้ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณา แต่ก็มีผลเพียงให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีของจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนเท่านั้น ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 และหากต่อมาความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จะลดลงตามแผนฟื้นฟูกิจการก็ไม่มีผลกระทบต่อความรับผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวน ตามมาตรา 90/60 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๘,๕๑๔,๒๔๖.๕๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี จากเงินต้น ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา บริษัทบริหารสินทรัพย์ จตุจักร จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต และศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ ๑ ชั่วคราวเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ ไว้เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ และต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๔๔ จึงมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ โดยตั้งให้บริษัทฟาร์อีสต์ แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้ทำแผน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดลดลงจำนวนเท่าใด ก็ให้นำมาหักจากยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต้องรับผิดตามคำพิพากษาคดีนี้ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๕,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ในระหว่างพิจารณาคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งงดการพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ และจำหน่ายคดีจำเลยที่ ๑ ชั่วคราวเพราะจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ และศาลล้มละลายกลางสั่งรับคำร้องขอดังกล่าวไว้พิจารณา ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ อย่างลูกหนี้ร่วม คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อศาลฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าหากยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดลดลงจำนวนเท่าใด ก็ให้นำยอดหนี้ ที่ลดลงนั้นมาหักออกจากจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต้องรับผิดด้วย เป็นคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ ศาลล้มละลายกลางเพียงรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ ไว้พิจารณา เท่านั้น มีผลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ แต่เพียงว่า ในกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งลูกหนี้ ไว้ก่อนแล้ว ก็ให้งดพิจารณาคดีไว้ก่อนเท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายมาตราใดให้ศาลชั้นต้นพิพากษาดังกล่าวได้ เมื่อนำมาตรา ๙๐/๖๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาพิจารณาประกอบ ได้ความว่า แม้ต่อมา ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการก็ตาม ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของบุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้ หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้ หรือผู้ค้ำประกัน ดังนั้น การยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีผลกระทบต่อ ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในอนาคตแต่ประการใด แม้จำเลยที่ ๑ อาจรับผิดไม่เต็มจำนวนหนี้ก็ตาม ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อ้างพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๑ เรื่องสิทธิในการยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้า หากจำเลยที่ ๑ ถูกพิทักษ์ทรัพย์มาในคำแก้อุทธรณ์นั้น เห็นว่า เป็นคนละเรื่องและคนละขั้นตอนกับคดีนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๕,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.