คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 47 มิได้ให้ความหมายของคำว่ามหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาไว้เป็นพิเศษ ต้องถือความหมายตามพจนานุกรม ทั้งกฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะแบ่งเบาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมีบุตรที่ไม่ได้เป็นผู้เยาว์และอายุยังไม่เกิน 25 ปีแต่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใด ๆ ในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษาอันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศมีระดับการศึกษาสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาเป็นสถาบันที่เนติบัณฑิตยสภาก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสิทธิ์ประสาทและส่งเสริมการศึกษานิติศาสตร์และความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมายโดยเฉพาะมิใช่มหาวิทยาลัยแต่ก็เป็นสถาบันการศึกษาในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษาจึงเป็นชั้นอุดมศึกษาตามความหมายของมาตรา 47โจทก์จึงมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันดังกล่าวได้
การกำหนดค่าทนายความว่าควรจะให้ผู้แพ้คดีใช้แทนผู้ชนะคดีมากน้อยเพียงใดเป็นการใช้ดุลพินิจอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงอุทธรณ์ของโจทก์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าทนายความของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 แต่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยจำนวน 1,000 บาท เกินอัตราขั้นสูงของตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในกรณีที่ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 2,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.11) ปีภาษี 2539 ให้โจทก์ชำระภาษีและเงินเพิ่มรวม1,364 บาท โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และชำระภาษีตามการประเมินดังกล่าว ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้มีคำวินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 639.37 บาท โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนบุตรซึ่งกำลังศึกษาที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เพราะสถาบันดังกล่าวไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาตามประมวลรัษฎากรแต่โจทก์เห็นว่าสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภามีฐานะเทียบเท่ามหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา และการที่จำเลยไม่ส่งเรื่องการของดหรือลดเงินเพิ่มให้อธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาก่อนนั้นไม่ชอบด้วยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 11/2529 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2544 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,376 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90)โดยหักลดหย่อนบุตรจำนวน 2 คน เป็นเงิน 7,500 บาทและ 8,500 บาท โดยอ้างว่าบุตรคนหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรคนดังกล่าวเพราะสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาตามประมวลรัษฎากร ส่วนกรณีเงินเพิ่มตามมาตรา 27 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ไม่มีกฎหมายหรือคำสั่งใดให้งดหรือลดได้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ส่วนเงินค่าภาษีและเงินเพิ่มที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดให้โจทก์ต้องไปยื่นคำร้องขอคืนตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินภาษีที่ชำระไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลย1,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ประจำปีภาษี 2539 แสดงรายการว่าโจทก์มีเงินได้จากการประกอบอาชีพอิสระ (ทนายความ) จำนวน 96,000 บาทและหักลดหย่อนบุตร 2 คน เป็นเงิน 7,500 บาท และ 8,500 บาท โดยโจทก์เห็นว่าในปี2539 โจทก์มีสิทธิหักค่าลดหย่อนสำหรับบุตรของตนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(1)(ค) ได้ แม้นางสาวปรียพร ลิมอักษร บุตรคนหนึ่งของโจทก์มีอายุ 23 ปี แล้วเพราะกำลังศึกษาที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาต่อมาเมื่อวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2544 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยมีหนังสือแจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2539 เพิ่มเติมและเงินเพิ่มเป็นเงิน 1,364 บาทโดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรทั้งสองคน โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 แล้วชำระเงินภาษีเพิ่มเติมและเงินเพิ่มตามการประเมินดังกล่าวพร้อมกับเงินเพิ่มที่คำนวณไว้อีก 1 เดือน จำนวน 12 บาทรวมเป็นเงินเพิ่ม 1,376 บาท คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับนางสาวปรียาพร เพราะนางสาวปรียาพรไม่ได้เป็นผู้เยาว์และสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาตามความหมายของมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากร แต่มีสิทธิหักลดหย่อนบุตรและหักลดหย่อนการศึกษาสำหรับบุตรคนที่ 2 ได้ ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน639.37 บาท มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่าสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาเป็นมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาตามความหมายของมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมิได้ให้ความหมายของคำว่ามหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาไว้เป็นพิเศษ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัย หมายถึงสถาบันอุดมศึกษาที่มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาในด้านวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงหลายสาขาวิชาหรือหลายกลุ่มสาขาวิชาเพื่อให้ประกาศนียบัตรอนุปริญญา ปริญญาและประกาศนียบัตรบัณฑิตแก่ผู้สำเร็จการศึกษารวมทั้งดำเนินการวิจัยและให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ ส่วนคำว่า อุดมศึกษาหมายถึงการศึกษาในระดับสูงกว่ามัธยมศึกษาเมื่อคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายมาตรานี้แล้ว เห็นว่า กฎหมายประสงค์จะแบ่งเบาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมีบุตรที่ไม่ได้เป็นผู้เยาว์และอายุยังไม่เกิน 25 ปี แต่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใด ๆ ในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษาอันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศมีระดับการศึกษาสูงขึ้น สำหรับสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภานั้นเป็นสถาบันที่เนติบัณฑิตยสภาก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสิทธิ์ประสาทและส่งเสริมการศึกษานิติศาสตร์และความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมายโดยเฉพาะ โดยมีคณะกรรมการอำนวยการศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาซึ่งแต่งตั้งโดยอาศัยอำนาจตามข้อบังคับเนติบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2507 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเนติบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2507 มาตรา 8 โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเป็นนักศึกษาของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาจะต้องเป็นผู้ที่สอบไล่ได้ปริญญาตรีทางนิติศาสตร์และเมื่อสอบความรู้ชั้นเนติบัณฑิตได้จะได้รับประกาศนียบัตรเป็นนิติบัณฑิต จึงเห็นได้ชัดเจนว่าแม้สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาจะมิใช่มหาวิทยาลัยแต่ก็เป็นสถาบันการศึกษาในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษา ดังนั้นสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาจึงเป็นชั้นอุดมศึกษาตามความหมายของมาตรา 47 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิหักลดหย่อนบุตรสำหรับนางสาวปรียาพรได้ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนบุตรสำหรับนางสาวปรียาพรและโจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มเติมและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 639.37 บาท จึงไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าภาษีเพิ่มเติมและเงินเพิ่มจำนวน 1,376 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ได้ชำระให้แก่จำเลยไปแล้วคืนได้พร้อมดอกเบี้ยแต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกินจำนวนภาษีอากรที่ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศวรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลฎีกาสั่งลดค่าทนายความที่โจทก์ต้องชำระให้จำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำนวน 1,000 บาท โดยโจทก์อ้างว่าเป็นเงินที่สูงมากนั้นเห็นว่า การกำหนดอัตราค่าทนายความว่าควรจะให้ผู้แพ้คดีใช้แทนผู้ชนะคดีมากน้อยเพียงใดนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์ของโจทก์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าทนายความของศาล จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 อย่างไรก็ตามการที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้โจทก์ใช้แทนจำเลยจำนวน 1,000 บาท นั้นเกินอัตราขั้นสูงของ ตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในกรณีที่ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน2,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนปัญหาข้ออื่นนอกจากนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว และพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่สภ.2/7260/ป.4/1/45/94 ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2544 เฉพาะในส่วนที่ให้เรียกเก็บเงินภาษี 375 บาท และเงินเพิ่มอีก 264.37 บาท รวมเป็นเงิน 639.37 บาท จากโจทก์สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2539 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,376 บาท ที่โจทก์ชำระเป็นค่าภาษีเงินได้ตามการประเมินพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ แต่ไม่เกินจำนวนเงินภาษีที่ได้รับคืนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ”

Share