แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เดิมจำเลยจะยึดถือที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ อันเป็นการยึดถือไว้แทนนายยะและโจทก์ แต่เมื่อนายยะตาย โจทก์และทายาทของนายยะขอชำระหนี้เงินกู้เพื่อเอาที่พิพาทคืน จำเลยไม่ยอมรับชำระ โดยอ้างว่าที่นาเป็นของจำเลย ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวโจทก์และทายาทของนายยะว่า จำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทไว้แทนโจทก์และทายาทของนายยะ เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไว้แทนมาเป็นการยึดถือเพื่อตน อันเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ และจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง ย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๖๘ เนื้อที่ ๑๐ ไร่เศษ เป็นของโจทก์และนายยะ โต๊ะเต๊ะ สามี ต่อมานายยะ โต๊ะเต๊ะ ถึงแก่กรรม โจทก์และบุตรโจทก์ ๔ คน รวมทั้งจำเลยด้วย ได้ครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดมา โจทก์และทายาทได้มอบให้จำเลยทำนาต่างดอกเบี้ย ที่ดินพิพาทนี้จำเลยได้ไปยื่นคำร้องขอออกโฉนดในนามของจำเลย โจทก์และเจ้าของกรรมสิทธิอื่นไปคัดค้าน โจทก์ให้จำเลยกันส่วนที่ดินส่วนของโจทก์ออก จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเอง เมื่อตกลงไม่ได้ก็ให้ประมูลเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วนระหว่างทายาท
จำเลยให้การว่า ก่อนนายยะสามีโจทก์ถึงแก่กรรมได้กู้เงินจำเลยไป ๒ ครั้ง รวม ๕,๒๐๐ บาท และนางเสียะ สิทธิสาคร ได้กู้เงินจำเลยไป ๓,๒๐๐ บาท โดยมีนายยะสามีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อนายยะสามีโจทก์ถึงแก่กรรม จำเลยได้ทวงหนี้ที่นายยะสามีโจทก์ติดค้างและค้ำประกันจากทายาทของนายยะ ทายาทของนายยะไม่มีเงินชำระ ได้พร้อมกันยกมรดกของนายยะอันเป็นส่วนได้ของแต่ละคนให้เป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทนับแต่วันที่นายยะถึงแก่กรรมจนถึงปัจจุบันด้วยความสงบและเปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องเป็นเวลาติดต่อกันนานประมาณ ๑๐ ปีแล้ว สินสมรสอันเป็นส่วนได้ของโจทก์ โจทก์ได้ยกให้จำเลยเป็นการใช้หนี้ที่โจทก์กู้จำเลยไปแล้วไม่มีเงินชำระ โดยยกให้กว่า ๑ ปีแล้ว และจำเลยได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทส่วนนี้อย่างเป็นเจ้าของด้วยความสงบและเปิดเผยโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องเป็นเวลากว่า ๑ ปีแล้ว จำเลยไม่ได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะทำกินต่างดอกเบี้ย คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยครอบครองนาพิพาทแทนทายาทไม่มีทางได้สิทธิครอบครอง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้แบ่งนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามส่วนได้ของโจทก์ ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองก่อน เมื่อตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลทั่วไป เอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ตามส่วนได้ของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้การครอบครองของจำเลยภายหลังที่นายยะถึงแก่กรรมจะสืบเนื่องจากการครอบครองเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยตามสัญญากู้ นายยะก็ได้สั่งว่า นายยะถึงแก่กรรมและบรรดาบุตรไม่ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว ก็ให้นาพิพาทตกเป็นของจำเลย เมื่อบรรดาบุตรของนายยะและโจทก์ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลย ก็เท่ากับว่าโจทก์และบรรดาบุตรของนายยะได้สละการครอบครองนาพิพาทมอบให้จำเลยเป็นการชำระหนี้โดยปริยาย การครอบครองของโจทก์และทายาทย่อมสิ้นสุดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗ นับแต่นั้นมาจำเลยครอบครองที่นาพิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง ทั้งปรากฎว่าก่อนฟ้องประมาณ ๒ – ๓ ปี โจทก์กับบุตรได้ไปขอไถ่นาพิพาทจากจำเลย จำเลยไม่ยินยอม อ้างว่านาพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์กับบุตรปล่อยให้จำเลยครอบครองนาพิพาทต่อมาโดยไม่ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ โจทก์ย่อมหมดสิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแล้ว พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายยะได้กู้ยืมเงินของจำเลย รวม ๕,๒๐๐ บาท มอบนาพิพาทให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ย เมื่อ ๒ – ๓ ปีมาแล้ว โจทก์และบุตรโจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายยะเคยไปขอชำระเงินให้จำเลยเพื่อเอานาพิพาทคืน จำเลยไม่ยอมรับชำระ อ้างว่านาเป็นของจำเลยแล้ว ฉะนั้นแม้เดิมจำเลยจะยึดถือที่พิพาทไว้ทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้อันเป็นการยึดถือไว้แทนนายยะและโจทก์ แต่เมื่อโจทก์และทายาทของนายยะขอชำระหนี้เงินกู้เพื่อเอาที่พิพาทคืน จำเลยไม่ยอมรับชำระโดยอ้างว่าที่นาเป็นของจำเลย ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวโจทก์และทายาทของนายยะว่า จำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทไว้แทนโจทก์และทายาทของนายยะเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไว้แทนมาเป็นการยึดถือเพื่อตน อันเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ และจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง ย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท
พิพากษายืน