คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ซึ่งมีราคา 6 หมืนกว่าบาท และทำลายทรัพย์สินในที่ดินนั้น ขอให้ลงโทษและขับไล่จำเลย จำเลยปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์กับต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 363 และ358 ปรับ 550 บาท และให้ขับไล่จำเลยกับให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 363 แต่บทเดียวปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้นี้คงยืนตามคำพิพากษาศษลชั้นต้น ดังนี้ ่ข้อที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินพิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้อง ไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะขาดเจตนานั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลล่างฟังมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุก จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทางแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ประเด็นนี้ ในคดีส่วนอาญา ศาลล่างก็ฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย ไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่บ้านและสวน จำเลยที่ ๑ ใช้ให้จำเลยที่ ๒-๓ ทำลายรั้วเขตของโจทก์และบุกรุกเข้าไปแผ้วถาง ตัดฟัน และเผาป่าละเมาะ ต้นไม้ และรั้วไม้ ภายในที่ดินของโจทก์ และทำรั้วกั้นเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โดยเจตนาทำลายทรัพย์และทำลายรั้วอันเป็นเครื่องหมายอาณาเขตที่ดินของโจทก์ และเจตนาบุกรุกเพื่อถือการครอบครองที่ดินบางส่วน ทั้งเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘,๓๖๒,๓๖๓,๘๓,๘๔ และพิพากษาขับไล่ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และให้รื้อรั้วออกไป กับให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่ารั้วและค่าต้นไม้ ๔๐๐ บาท
จำเลยให้ากรว่า จำเลยมิได้บุกรุกเข้าตัดฟันต้นไม้และรื้อรั้วในที่ดินโจทก์ ที่ดินตามฟ้องมิใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลยที่ ๑ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทำลายของของโจทก์เสียหาย แต่จำเลยที่ ๒-๓ กระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด และไม่มีเจตนาบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของโจทก์ จึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒,๓๖๓,๘๔ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๓ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้ปรับ ๔๐๐ บาท กับมีความผิดตามมาตรา ๓๕๘,๘๔ ด้วยให้ปรับ ๕๐ บาท รวมโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็น ๔๕๐ บาท ยกฟ้องคดีอาญาเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒-๓ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารและห้ามเกี่ยวข้อง กับให้รื้อรั้วและร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๒๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่า จำเลยที่ ๑ กระทำผิดมาตรา ๓๖๒,๓๖๓,๓๕๘ ประกอบด้วย ๘๔ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๓ ประกอบด้วย ๔๐ ให้ปรับจำเลยที่ ๑ ๕๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ และจำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินที่พิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนฟ้อง ฟ้องอาญาของโจทก์จึงขาดเจตนาตามกฎหมาย ไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๐ ฎีกาข้อที่ว่าฟ้องอาญาของโจทก์ขาดเจตนาตามกฎหมาย จึงไม่เป็นการบุกรุกาตามประมวลกฎหมายอาญานั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพราะศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกแล้ว จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทางอาญา จำเลยจะฎีกาให้ฟังเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีแต่ในทางแพ่งซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะที่ดินพิพาทมีราคา ๖๖,๕๕๕ บาทประเด็นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงทางอาญา ศาลล่างฟังเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ บุกรุกที่พิพาทรายนี้ ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ศาลล่างฟังไว้ในคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์(ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖) ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๔๐/๒๔๙๓ ไม่มีทางฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปได้
พิพากษายืน

Share