คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4499/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.รัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้ และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114” บทบัญญัตินี้ไม่ได้บังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในขณะที่ทำตราสารแต่อย่างใด และมิได้บัญญัติว่า ตราสารที่มิได้ปิดอากรแสตมป์หรือขีดฆ่าใช้บังคับไม่ได้ แต่กลับบัญญัติให้มีการปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในภายหลังได้ ดังนั้น เมื่อหนังสือมอบอำนาจได้ปิดอากรแสตมป์แล้วและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขีดฆ่าในระหว่างการพิจารณาจึงเป็นเอกสารที่รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 โดยประมาทเลินเล่อด้วยความเร็ว จำเลยที่ 1 จึงควบคุมรถไม่ได้ทำให้รถแล่นข้ามร่องกลางถนนพุ่งเข้าชนรถโดยสารของโจทก์ที่แล่นสวนทางจนได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถเข้าซ่อมแซมเป็นเงิน 704,985.85 บาท และต้องขาดประโยชน์จากการนำรถออกขนส่งผู้โดยสารในระหว่างซ่อมแซมเป็นเวลา 24 วัน วันละ 25,000 บาท เป็นเงิน 600,000 บาท รวม 1,304,985.85 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 44,512.53 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ลดค่าเสียหายลงให้ตรงตามความเป็นจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 824,985.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มีนาคม 2552 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้โดยประมาทเลินเล่อทำให้ชนรถโดยสารของโจทก์ที่แล่นสวนทางมาจนได้รับความเสียหาย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า หนังสือมอบอำนาจซึ่งเดิมโจทก์ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ แต่เพิ่งได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ขีดฆ่าในระหว่างการพิจารณานั้นจะใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติว่า ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114 บทบัญญัตินี้ไม่ได้บังคับให้ต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในขณะที่ทำตราสารแต่อย่างใดและมิได้บัญญัติว่าตราสารที่มิได้ปิดอากรแสตมป์หรือขีดฆ่าใช้บังคับไม่ได้ แต่กลับบัญญัติให้มีการปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าในภายหลังได้ ดังนั้น เมื่อหนังสือมอบอำนาจได้ปิดอากรแสตมป์แล้วและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขีดฆ่าในระหว่างการพิจารณา จึงเป็นเอกสารที่รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา 853,124.51 บาท จำเลยที่ 2 ต้องเสียค่าขึ้นศาล 17,062 บาท แต่จำเลยที่ 2 เสียค่าขึ้นศาล 26,989 บาท ซึ่งเกินมา 9,927 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลยที่ 2
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่เสียเกินแก่จำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์

Share