แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับให้ศาลแรงงานจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อใดข้อหนึ่งก่อนจึงเป็นอำนาจของศาลแรงงานกลางที่จะใช้ดุลพินิจยกปัญหาข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อนหรือหลังก็ได้ตามที่เห็นสมควรแก่รูปคดี ทั้งเมื่อได้วินิจฉัยปัญหาข้อหนึ่งข้อใดแล้วเห็นว่าสามารถชี้ขาดตัดสินคดีได้ จะไม่วินิจฉัยปัญหาข้ออื่น ๆ ต่อไปอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
ผู้ตายปีนขึ้นไปบนโครงจอภาพยนตร์แล้วเอาเสาธงเหล็กฟาดสายไฟฟ้าแรงสูงจนถูกไฟฟ้าดูดและตกลงมาเสียชีวิต เพราะผู้ตายต้องการแสดงโอ้อวดตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ มิได้เกิดเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้าง จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2544 นายไกรสอน คำจันทร์ ประสบอันตรายถูกไฟฟ้าดูดและตกจากที่สูงเสียชีวิต นางต่วน คำจันทร์ มารดาผู้ตายแจ้งการประสบอันตรายต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมา ทางสำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครราชสีมามีคำสั่งที่ 2/2544 ว่านางต่วนไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนเพราะนายไกรสอนไม่เป็นลูกจ้าง และอันตรายที่ได้รับไม่ได้เกิดจากการทำงานให้นายจ้าง นางต่วนอุทธรณ์ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยที่ 174/2544 ว่านายไกรสอนเป็นลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านรุ่งเรืองภาพยนตร์ และการประสบอันตรายเกิดเนื่องจากการทำงานให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยเนื่องจากนายไกรสอนไม่ได้เป็นลูกจ้างโจทก์ วันเกิดเหตุโจทก์รับจ้างไปฉายภาพยนตร์ที่บ้านนายสมคิด น้อยตาแสงมีพนักงานของโจทก์ไปเพียง 4 คน เมื่อติดตั้งโครงจอภาพยนตร์เสร็จเวลา 17 นาฬิกา ผู้ตายซึ่งไม่ได้เป็นลูกจ้างโจทก์มีอาการเมาสุราได้หยิบเสาธงเหล็กปีนขึ้นไปบนโครงจอภาพยนตร์แล้วเอาเสาธงตีสายไฟฟ้าแรงสูงจึงถูกไฟฟ้าดูดตกลงมา ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 174/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
จำเลยให้การว่า การที่นางสาวสุกัญญา จารุศรีวรกุล ผู้ดูแลกิจการและเพื่อนร่วมงานอ้างว่านายไกรสอนผู้ตายเคยทำงานที่ร้านรุ่งเรืองภาพยนตร์ ถูกไล่ออกก่อนเกิดเหตุ2 สัปดาห์ วันเกิดเหตุผู้ตายไม่ได้ทำงานให้โจทก์ แต่จากถ้อยคำของเจ้าของบ้านงานและพยานผู้พบเห็นได้ความว่าผู้ตายไม่ใช่คนในหมู่บ้าน น่าจะมากับรถฉายภาพยนตร์ และมีอาการเมาสุราโดยยังพูดคุยรู้เรื่อง เวลา 17 นาฬิกา ผู้ตายตกจากโครงเหล็กจอภาพยนตร์หัวหน้าสถานีอนามัยโคกหินช้างให้ถ้อยคำว่า ผู้ตายเข้ารักษาที่สถานีอนามัยเวลาประมาณ17 นาฬิกา สอดคล้องกับเวลาปฏิบัติงานของลูกจ้างคนอื่น การที่ผู้ตายเข้าไปในบริเวณงานน่าจะไปกับรถฉายภาพยนตร์เพื่อปฏิบัติงาน ลักษณะการประสบอันตรายสอดคล้องกับลักษณะการทำงานจึงเห็นว่าวันเกิดเหตุผู้ตายไปปฏิบัติงานให้นายจ้าง ส่วนที่ว่าผู้ตายเมาสุรา ข้อเท็จจริงไม่อาจยืนยันได้ว่าผู้ตายไม่สามารถครองสติได้กรณีไม่เข้าเหตุที่นายจ้างจะปฏิเสธไม่จ่ายเงินทดแทนในการประสบอันตราย คณะกรรมการจึงมีมติว่าผู้ตายเป็นลูกจ้างโจทก์เจ้าของร้านรุ่งเรืองภาพยนตร์ การประสบอันตรายเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานโจทก์ไม่มีเหตุจะฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 174/2544 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า นายไกรสอน คำจันทร์ ผู้ตายปีนขึ้นไปบนโครงจอภาพยนตร์ เอาเสาธงเหล็กฟาดสายไฟฟ้าแรงสูงจนถูกไฟฟ้าดูดตกลงมาและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แล้ววินิจฉัยว่าเป็นการสมัครใจเสี่ยงภัยอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้ตายจงใจให้ตนเองประสบอันตรายตามข้อยกเว้นมาตรา 22(2) แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทน คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าผู้ตายเป็นลูกจ้างของโจทก์หรือไม่เพราะถึงหากผู้ตายจะเป็นลูกจ้างของโจทก์ก็ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทนพ.ศ. 2537 มาตรา 22(1) และ (2) เป็นข้อยกเว้นของกฎหมายที่นายจ้างไม่จำต้องจ่ายเงินทดแทนในกรณีที่ลูกจ้างได้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง จึงชอบที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้ได้ข้อยุติเสียก่อนว่าผู้ตายเป็นลูกจ้างโจทก์ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 หรือไม่ และหากผลการวินิจฉัยปรากฏว่าผู้ตายเป็นลูกจ้างโจทก์ นายจ้างจะต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เนื่องจากการทำงานให้นายจ้างหรือไม่ แล้วจึงวินิจฉัยตามมาตรา 22(1) และ (2) อันเป็นข้อยกเว้นต่อไปนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้แต่เพียงว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติบังคับให้ศาลแรงงานจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อใดข้อหนึ่งก่อน จึงเป็นอำนาจของศาลแรงงานกลางที่จะใช้ดุลพินิจยกปัญหาข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อนหรือหลังก็ได้ตามที่เห็นสมควรแก่รูปคดี ทั้งเมื่อได้วินิจฉัยปัญหาข้อหนึ่งข้อใดแล้วเห็นว่าสามารถชี้ขาดตัดสินคดีได้ จะไม่วินิจฉัยปัญหาข้ออื่น ๆ ต่อไปอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปก็ย่อมทำได้ ไม่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.2 ว่า กรณีผู้ตายปีนขึ้นไปบนโครงจอภาพยนตร์แล้วเอาเสาธงเหล็กฟาดสายไฟฟ้าแรงสูงและถูกไฟฟ้าดูดตกลงมาเสียชีวิตหลังจากถูกส่งโรงพยาบาล เป็นการกระทำที่เกิดจากความเชื่อของตนว่าเป็นคนหนังเหนียว มีของดี มีคาถา อันเป็นความเชื่ออย่างงมงายของผู้ตายซึ่งคาดหมายและเล็งเห็นว่าตนจะไม่ได้รับอันตรายจึงถือไม่ได้ว่าผู้ตายจงใจที่จะให้ตนเองประสบอันตรายและการตายของผู้ตายเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานให้นายจ้างนั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 บัญญัติว่า “ประสบอันตราย”หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กาย หรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้าง แต่การที่ผู้ตายปีนขึ้นไปบนโครงจอภาพยนตร์แล้วเอาเสาธงเหล็กฟาดสายไฟฟ้าแรงสูง จนถูกไฟฟ้าดูดและตกลงมาเสียชีวิตนั้นเกิดจากการที่ผู้ตายต้องการแสดงโอ้อวดตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ มิได้เกิดเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของนายจ้าง จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ต้องจ่ายเงินทดแทน และพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ในข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน