คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4487/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มีฐานะเป็นทั้งบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์และจำเลยรับว่าโจทก์มีอำนาจให้กู้ยืมเงินในฐานะเป็นบริษัทเงินทุนได้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าในฐานะที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ โจทก์มีอำนาจให้กู้ยืมเงินหรือไม่ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ถือว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 หุ้นที่โจทก์ซื้อแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์นั้นไม่ต้องปฏิบัติการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1129 แม้หุ้นจะมิได้มีชื่อจำเลยก็จะถือว่ามิใช่หุ้นของจำเลย และโจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้จำเลยหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ซื้อขายหุ้น ให้จำเลย และจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นแก่โจทก์จึงได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์เพื่อชำระหนี้ การที่จำเลยได้รับเช็คจำนวนเงินตามที่กู้และนำเช็คนั้นไปชำระหนี้โจทก์จนเป็นเหตุให้หนี้ระงับไป ถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้แล้วสัญญากู้จึงบริบูรณ์มีมูลหนี้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 449,993.56 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ จำเลยฎีกาว่าการที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 โจทก์มิได้ปฏิบัติตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ซึ่งออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(8) โดยเป็นนิติกรรมที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของโจทก์ในฐานะที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์จะพึงกระทำได้ แม้โจทก์มีอำนาจให้กู้ยืมเงินได้ในฐานะเป็นบริษัทเงินทุนก็ปรากฏว่าการกู้ยืมเงินรายนี้ไม่มีการส่งมอบตัวเงินให้แก่จำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ พิเคราะห์แล้วเมื่อโจทก์มีฐานะเป็นทั้งบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์และจำเลยรับว่า โจทก์มีอำนาจให้กู้ยืมเงินในฐานะเป็นบริษัทเงินทุนได้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าในฐานะที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์โจทก์มีอำนาจให้กู้ยืมเงินหรือไม่ต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ถือว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ส่วนปัญหาว่าจำเลยได้รับเงินตามที่กู้ยืมหรือไม่ เป็นปัญหาในประเด็นที่สองซึ่งจะได้วินิจฉัยต่อไป
ประเด็นที่สองมีว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์หรือไม่ และจะต้องรับผิดเพียงใด ในประเด็นนี้จำเลยฎีกาว่าการซื้อขายหุ้นที่โจทก์อ้างว่าทำแทนจำเลยมีแต่ตัวเลขทางบัญชี หามีตัวหุ้นไม่ จึงไม่มีการซื้อขายหุ้นไม่มีการโอนหุ้นและเป็นเพียงการพนันขันต่อ นอกจากนั้นในการทำสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยได้รับเช็คจากโจทก์แต่มิได้รับเงินตามเช็ค การกู้ยืมเงินรายนี้จึงไม่มีมูลหนี้ พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนายตันติ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทโจทก์เบิกความว่า จำเลยมอบหมายให้บริษัทโจทก์เป็นตัวแทนการซื้อขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายหลักทรัพย์หลายครั้ง จำเลยขาดทุนและเป็นหนี้โจทก์ จึงได้ขอกู้เงินเพื่อชำระหนี้เป็นเงิน 462,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้นจำเลยได้ผ่อนชำระเงินให้โจทก์แล้ว 3 งวด เป็นเงิน 62,850.74 บาท เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์เพื่อชำระหนี้และยอมชำระหนี้ตามสัญญากู้ไปบ้างแล้ว แสดงว่ามีการซื้อขายหุ้นและจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง จำเลยคงมีตัวจำเลยเอง นายปราโมทย์ บรรณสิทธิ์ ทนายความ และนายธานี พัชรสุคนธ์ ทนายความ มาเบิกความว่า โจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้จำเลยที่อ้างเช่นนี้ก็โดยอาศัยเหตุว่า เมื่อ พ.ศ. 2522 โจทก์ให้จำเลยทำสัญญาขายหลักทรัพย์ของจำเลยแก่โจทก์ตามเอกสารหมาย ล.4 เพื่อนำหลักทรัพย์นั้นไปขายแก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด อีกชั้นหนึ่ง แต่ใบหุ้นตามที่ระบุในเอกสารหมาย ล.4 ไม่มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ข้อนี้เห็นว่า หุ้นที่โจทก์ซื้อแทนจำเลยในตลาดหลักทรัพย์นั้นไม่ต้องปฏิบัติการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129ฉะนั้น แม้หุ้นดังกล่าวมิได้มีชื่อจำเลย ก็จะถือว่ามิใช่หุ้นของจำเลยและจะฟังต่อไปว่าโจทก์มิได้ซื้อหุ้นให้จำเลยหาได้ไม่พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่าโจทก์ซื้อขายหุ้นให้จำเลย และจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นแก่โจทก์เป็นเงิน 462,000 บาทจริง ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามิได้รับเงินตามเช็คนั้น ปรากฏตามคำเบิกความของนายตันติพยานโจทก์ว่าจำเลยสลักหลังและนำเช็คดังกล่าวชำระหนี้ค่าซื้อหลักทรัพย์ให้แก่โจทก์ โดยมีนายดรุณ เจตานนท์ สมุห์บัญชีธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาบางกะปิ เบิกความประกอบคำนายตันติต่อไปว่า โจทก์ได้นำเช็คนั้นไปให้เรียกเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว ปรากฏตามเช็คเอกสารหมาย จ.4 ดังนี้ การที่จำเลยได้รับเช็คจำนวนเงินตามที่กู้และนำเช็คนั้นไปชำระหนี้จนเป็นเหตุให้หนี้ระงับไป จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2บริบูรณ์มีมูลหนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 4,000 บาทแทนโจทก์

Share