แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีในทางอาญาแทนโดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ได้ร่วมสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คทั้งสามฉบับเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 แต่จำเลยที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2541 การกระทำผิดของจำเลยที่ 2ในคดีนี้จึงเกิดขึ้นก่อนจะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด การดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์โดยไม่มีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยจึงชอบแล้ว เช็คแต่ละฉบับที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายให้โจทก์ มีจำนวนเงินสูง และจำเลยทั้งสองไม่ได้ผ่อนชำระหนี้ ตามเช็คให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ แม้ว่าโจทก์จะยื่นขอ รับชำระหนี้ตามเช็คทั้งสามฉบับต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีนี้ กับจำเลยทั้งสองอีกต่อไป จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สามกระทง ลงโทษปรับจำเลยที่ 1กระทงละ 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 90,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 45,000 บาท จำคุก จำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดกระทงแรกให้วางโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี กระทงที่สองปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 22,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน กระทงที่สามปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 72,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 5 เดือน ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 36,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 2 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.9/2541ของศาลจังหวัดสุรินทร์ จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์ในคดีนี้ได้ เพราะการต่อสู้คดีนี้ต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทนตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์ แต่ไม่มีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 2 การดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นอุทธรณ์เป็นต้นมาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามหลักกฎหมายล้มละลายเพียงบัญญัติมิให้บุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินคดีในทางแพ่งด้วยตนเองแต่ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีในทางอาญาแทนบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ โดยเฉพาะกฎหมายล้มละลายมิได้คุ้มครองให้ผู้กระทำผิดอาญานั้นพ้นผิดไปด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คทั้งสามฉบับเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 แต่จำเลยที่ 2ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2541 การกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เกิดขึ้นก่อนจะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่เกี่ยวข้องกับการถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในภายหลังแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์เป็นต้นมาจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้นเห็นว่า เช็คแต่ละฉบับที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายให้โจทก์มีจำนวนเงินสูงประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่ได้ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ และแม้ว่าโจทก์จะยื่นขอรับชำระหนี้ตามเช็คทั้งสามฉบับต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีนี้กับจำเลยทั้งสองอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจต้องกันมาไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มานั้นหนักเกินควร เห็นสมควรวางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้เหมาะสมเสียใหม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้วางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงแรก7 เดือน กระทงที่สอง 5 เดือน และกระทงที่สาม 4 เดือน รวมจำคุก 16 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน สำหรับจำเลยที่ 1 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 แต่ประการเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1