คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4479/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการวางทรัพย์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพื่อที่ลูกหนี้จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดเป็นคนละเรื่องกับการที่ผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้อันเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 โดยไม่ต้องมีการวางทรัพย์
การที่จำเลยที่ 3 นำแคชเชียรเช็คพร้อมเงินสดตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานของธนาคารโจทก์ไปชำระ ณ สาขาของโจทก์ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้สินรายพิพาท จึงเป็นการขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันถึงกำหนดโดยชอบ เมื่อพนักงานของโจทก์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้ จำเลยที่ 3 เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 701 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 4,447,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินเป็นรายเดือน เดือนละ 92,700 บาท และชำระดอกเบี้ยทุกเดือนเริ่มแต่เดือนมิถุนายน 2538 เป็นต้นไป กำหนดชำระหนี้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 มีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระงวดหนึ่งงวดใดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดและให้ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ เพื่อประกันการชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยที่ 3 ออกหนังสือค้ำประกันเพื่อประกันการชำระหนี้ดังกล่าวไว้แก่โจทก์โดยไม่จำต้องเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ในวงเงินไม่เกิน 4,600,000 บาท ภายหลังทำสัญญา จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วน คิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 คงค้างชำระหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 4,246,879.86 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,246,879.86 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,876,782.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ถูกต้องตามสัญญาและกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันแล้ว จำเลยที่ 3 ออกเช็คลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 จำนวนเงิน 3,540,649.43 บาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยตามที่โจทก์ทวงถาม แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้ จำเลยที่ 3 จึงหลุดพ้นความรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,246,879.86 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,876,782.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 3 มิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 4,447,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วน โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2540 แล้วผิดนัดตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นมา ครั้นวันที่ 23 มิถุนายน 2541 โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองตามสำเนาหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองเอกสารหมาย จ.13 ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 3 ได้ออกแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน 3,540,649.43 บาท สั่งจ่ายให้แก่โจทก์ สาขาลานกระบือ เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งเป็นยอดหนี้ที่ติดต่อประสานงานกับโจทก์ สาขาลานกระบือแล้วและเตรียมเงินสดจำนวนเท่ากันมอบให้นายสมบัติ อิศรากำพต ผู้ช่วยผู้จัดการของจำเลยที่ 3 สาขาสามง่าม นำไปชำระให้แก่โจทก์ที่สาขาลานกระบือ ตามที่ระบุในหนังสือทวงถาม แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของโจทก์ไม่ยอมรับชำระอ้างว่าเงินที่จำเลยที่ 3 นำมาชำระหนี้นั้นยังไม่ครบถ้วนเพราะยังขาดค่าเสียหายที่เป็นค่าจ้างทนายความอีก 10,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายธนกร ลีลาวัชรมาศ ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการของโจทก์สาขาลานกระบือขณะเกิดเหตุมาเบิกความว่า การกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 ครั้งนี้มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยจำเลยที่ 3 ตกลงว่าหากจำเลยที่ 1 ผิดนัดนอกจากจำเลยที่ 3 ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ในวงเงินไม่เกิน 4,600,000 บาทแล้ว ยังมีข้อตกลงกันให้โจทก์มีสิทธิริบหลักประกันและเรียกร้องค่าปรับหรือค่าเสียหายใดๆ ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดได้อีกตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 หลังจากจำเลยทั้งสามผิดนัดโจทก์มอบให้ทนายความท้องถิ่นมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.13 โดยทนายความท้องถิ่นผู้ออกหนังสือคิดค่าจ้างจากโจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจ้างทนายความเอกสารหมาย จ.17 และนายธนกรเบิกความตอบคำถามค้านว่าการทำสัญญาจ้างทนายความเอกสารหมาย จ.17 นั้น จำเลยที่ 3 ไม่ทราบเรื่อง ก่อนผิดนัดจำเลยที่ 1 เคยชำระหนี้ให้โจทก์หลายครั้ง แต่ละครั้งจะชำระผ่านเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโจทก์หรือบางครั้งก็ผ่านทางพนักงานบัญชี นายชัยวัฒน์ ตรีภูริฑัต เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อคนหนึ่งของโจทก์ สาขาลานกระบือ การชำระหนี้ผ่านพนักงานของโจทก์หากเป็นการกระทำโดยชอบก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายชัยวัฒน์ ตรีภูริทัต มาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายชัยวัฒน์เป็นพนักงานของโจทก์ สาขาลานกระบือ และเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลลูกหนี้ในคดีนี้ ก่อนผิดนัดจำเลยที่ 1 เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง บางครั้งนายชัยวัฒน์ก็เป็นผู้รับชำระด้วยตนเอง ในการเจรจาติดต่อเกี่ยวกับการชำระหนี้กรณีของจำเลยที่ 3 นั้น นายชัยวัฒน์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ การติดตามทวงถามหนี้สินจากจำเลยที่ 3 นั้น ผู้จัดการของโจทก์สาขาลานกระบือรับทราบมาตลอด เห็นว่า แม้สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 จะมีข้อตกลงระบุไว้ด้วยว่าหากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ผู้ค้ำประกันคือจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในค่าปรับและค่าเสียหายใดๆ ที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากจำเลยที่ 1 ได้แล้วจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดด้วยก็ตาม แต่ค่าจ้างทนายความในการทวงถามเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.17 นั้นก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับทนายความผู้รับจ้าง ไม่มีผลผูกพันไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้ตกลงยินยอมด้วย อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการทวงถามของทนายความดังกล่าวก็มิได้เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้น จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนนี้ตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้โจทก์ย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วดังเห็นเจตนาของโจทก์ได้จากการออกหนังสือทวงถามเอกสารหมาย จ.8, จ.10, จ.13 และ ล.1 ที่ไม่มีการทวงถามให้จำเลยที่ 3 ชำระค่าทนายความในการออกหนังสือทวงถามจำนวน 10,000 บาท ดังกล่าวด้วย แม้กระทั่งการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันโจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องหรือขอมาในคำฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดชำระค่าจ้างทนายความในการออกหนังสือทวงถามจำนวน 10,000 บาท เช่นเดียวกัน ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเอาค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 3 ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า นายชัยวัตน์พนักงานสินเชื่อของโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะรับเงินที่จำเลยที่ 3 นำมาชำระให้ในวันนั้น โจทก์จึงมีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ของจำเลยที่ 3 ได้ ทำให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ไม่นั้น ในข้อนี้ได้ความจากนายธนกรและนายชัยวัฒน์ อดีตผู้จัดการและอดีตเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโจทก์ สาขาลานกระบือที่เกิดเหตุว่า นายชัยวัฒน์เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีนี้ ในการเจรจาติดต่อเกี่ยวกับการชำระหนี้กรณีของจำเลยที่ 3 นั้น นายชัยวัฒน์ก็เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ ก่อนผิดนัดจำเลยที่ 1 เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง บางครั้งจะชำระผ่านทางเจ้าหน้าที่สินเชื่อ บางครั้งก็ผ่านพนักงานบัญชีและนายชัยวัฒน์ก็เคยเป็นผู้รับชำระด้วยตนเอง ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับตลอดมาอันแสดงให้เห็นว่าการชำระหนี้ของลูกหนี้ต่อธนาคารโจทก์นั้นไม่จำเป็นที่ผู้จัดการสาขาจะต้องเป็นผู้รับชำระด้วยตนเอง แต่สามารถชำระผ่านทางเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรือพนักงานบัญชีได้โดยชอบซึ่งโจทก์ก็ยอมรับการปฏิบัติเช่นที่กล่าวมานี้ อย่างไรก็ตามยังได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และฎีกาของโจทก์ว่า นายธนกรผู้จัดการของโจทก์สาขาลานกระบือ ได้รับทราบและสั่งการให้นายชัยวัฒน์เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้จากเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 โดยให้เรียกร้องค่าจ้างทนายความเพิ่มอีก 10,000 บาท จนเป็นเหตุให้ผู้จัดการของจำเลยที่ 3 สาขาสามง่าม มอบหมายให้นายสมบัติ อิศรากำพต ผู้ช่วยผู้จัดการไปดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานตำรวจที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ไว้เป็นหลักฐานตามสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารหมาย ล.5 ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามความรับผิดของจำเลยที่ 3 ต่อโจทก์แล้ว แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรหรือข้ออ้างใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 สามารถนำเงินไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อให้จำเลยที่ 3 หลุดพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ได้ แต่จำเลยที่ 3 กลับไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจเพื่อนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดไม่ยอมรับชำระหนี้ ถือว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาไม่สุจริตนั้น เห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการวางทรัพย์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพื่อที่ลูกหนี้จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มิได้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์กันกับการที่ผู้ค้ำประกันจะขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากเหตุผลอันสมควรหรือข้ออ้างใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701 ฎีกาของโจทก์ในเรื่องนี้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกัน ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 3 นำแคชเชียร์เช็คพร้อมเงินสดตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากพนักงานของโจทก์ไปชำระ ณ สาขาของโจทก์ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้สินรายนี้ จึงเป็นการขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันถึงกำหนดโดยชอบ เมื่อพนักงานของโจทก์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share