คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามเฉพาะข้อกฎหมายเมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ในคดีมีข้อพิพาทความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีหรือในคดีไม่มีข้อพิพาทความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีการที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินทั้งสามคนต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งบุคคลทั้งสามถึงแก่ความตายไปประมาณ10ปีแล้วก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา10ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านดังนี้หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาลย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 180, 90, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปีและปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง เห็นสมควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามเฉพาะข้อกฎหมาย ซึ่งปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยทั้งสามมีว่า คำเบิกความของจำเลยทั้งสามในคดีที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวหรือไม่เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3ฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนายนุด นายกวาง นายอุย นางอุ้ย พลจันทร์นายมุ่ย ธรรมา นางลำใย สาวสุดชาติ และนางแป้น นาคเจริญเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 4763 ตำบลห้วยไผ่อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่โจทก์เป็นบุตรนายเชื่อม ธรรมา นายเชื่อมเป็นบุตรนายจุ้มนายจุ้มเป็นบุตรนายอุย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2532จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1324/2532 ขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายนุด นายกวาง และนายอุยภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอ เนื้อที่ 8 ไร่ เป็นของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้องขอนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 จำเลยทั้งสามต่างอ้างตนเองเป็นพยานในการไต่สวนคำร้องขอโดยเบิกความทำนองเดียวกันว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินต่างแบ่งแยกการครอบครองที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัดส่วนของนายนุด นายกวาง และนายอุยอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่รวม 8 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นของบุคคลอื่น นายนุด นางกวางและนายอุยถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ก่อนตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสาม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองที่ดินด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ในวันเดียวกันศาลมีคำสั่งว่าที่ดินบางส่วนตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายนุด นายกวางและนายอุยเนื้อที่ 8 ไร่ ตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามด้วยการครอบครองปรปักษ์ คำเบิกความของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นความเท็จซึ่งความจริงที่ดินดังกล่าวหาใช่ของนายนุด นายกวางและนายอุยร่วมกันและจำเลยทั้งสามหาได้เข้าครอบครองต่อมาแต่ประการใดไม่นายนุด นายกวาง และนายอุยร่วมกันและจำเลยทั้งสามหาได้เข้าครอบครองต่อมาแต่ประการใดไม่ นายนุด นายกวาง และนายอุยถึงแก่กรรมตายไปประมาณ 40 ถึง 50 ปีแล้ว และไม่ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสาม โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของนายเชื่อมและเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายอุยเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และได้ครอบครองที่ดินเดิมได้รับความเสียหายไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นปัญหาว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีมีข้อพิพาท ความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี หรือในคดีไม่มีข้อพิพาท ความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอ ซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่า ที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินดังกล่าวต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ส่วนของนายนุด นายกวาง และนายอุยอยู่ทางทิศตะวันตกเนื้อที่รวม 8 ไร่ นายนุด นายกวาง และนายอุยถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 ปีแล้ว ก่อนถึงแก่ความตาย บุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ดังนี้ หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาลย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นการเบิกความอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน

Share