คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3783/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป. ขายรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 แต่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์การที่ ป. กับจำเลยที่ 1 ไปทำคำเสนอใช้บริการของผู้ร้องโดยให้ผู้ร้องตกลงชำระราคารถยนต์ของกลางให้แก่ ป. และให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางจากผู้ร้อง เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ป. ตกลงขายรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องโดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 แม้ผู้ร้องจะมิได้ครอบครองรถยนต์ของกลางเลยก็ถือได้ว่าเป็นการส่งมอบกันโดยปริยาย กรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางตกเป็นของผู้ร้องในทันทีที่ตกลงซื้อขายกัน แม้จะจดทะเบียนโอนกันในภายหลังการซื้อขายก็สมบูรณ์เพราะใบคู่มือการจดทะเบียนมิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง ผู้ร้องเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเงินทุนลงทุนในกิจการต่าง ๆ รวมทั้งการให้เช่าซื้อ มิได้มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าไม้ อันเป็นเหตุให้มีการจับกุมจำเลยที่ 1 มาดำเนินคดีแต่อย่างใด เมื่อไม่ปรากฏว่ามีพนักงานของผู้ร่วมร้องในการกระทำความผิดด้วย จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ต้องคืนรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้และสั่งริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ม-0683 ลำพูนของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลางผู้ร้องและตัวแทนของผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมรถยนต์บรรทุกของกลางเป็นของนายประเสริฐ อินต๊ะ นายประเสริฐขายให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 นำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิดและถูกเจ้าพนักงานป่าไม้ยึดไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขอรับรถยนต์ของกลางคืนแทนนายประเสริฐ แล้วนำรถยนต์ของกลางมาทำสัญญาเช่าซื้อจากผู้ร้อง หลังจากทำสัญญาแล้วผู้ร้องจึงได้จดทะเบียนรับโอนรถยนต์ของกลางมาจากนายประเสริฐ ต่อมาจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้และถูกศาลสั่งริบ ผู้ร้องจึงมาขอรับรถยนต์ของกลางคืน
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางหรือไม่ ฯลฯ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ก่อนที่ผู้ร้องจะให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางผู้ร้องนั้นจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและใช้รถยนต์ของกลางมาตลอดไม่เคยส่งมอบให้แก่ผู้ร้อง ทั้งในวันที่ทำสัญญาเช่าซื้อจากผู้ร้อง จำเลยที่ 1 กับนายประเสริฐได้ทำคำเสนอต่อผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.7ว่า นายประเสริฐเสนอขายรถยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ 1ในราคา 120,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระไปแล้ว 70,000 บาท คงค้างเงิน 50,000 บาท จึงขอใช้บริการจากผู้ร้อง ผู้ร้องจึงชำระเงินให้นายประเสริฐ 50,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางในราคา 70,020 บาทต่อมาจึงได้จดทะเบียนโอนรถยนต์ของกลางมาเป็นของผู้ร้องตามใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เอกสารหมายร.4 พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นลักษณะการกู้ยืมเงินมากกว่าจะเป็นการเช่าซื้อ จึงฟังว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าการที่นายประเสริฐกับจำเลยที่ 1 ไปทำคำเสนอใช้บริการของผู้ร้องโดยให้ผู้ร้องตกลงชำระราคารถยนต์ของกลางให้แก่นายประเสริฐและให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางจากผู้ร้องนั้นเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า นายประเสริฐตกลงขายรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องไปแล้วโดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 แม้ผู้ร้องจะไม่ได้ครอบครองรถยนต์ของกลางไว้เลย ก็ถือได้ว่าเป็นการส่งมอบกันโดยปริยายกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางย่อมตกไปเป็นของผู้ร้องในทันทีที่ตกลงซื้อขายกันแม้การจดทะเบียนโอนตามใบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์จะได้กระทำกันภายหลังจากการซื้อขายก็ตามก็หาทำให้การซื้อขายไม่สมบูรณ์แต่อย่างใดไม่ เพราะใบคู่มือการจดทะเบียนมิใช่หลักฐานที่จะแสดงกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า รถยนต์ของกลางไม่ได้เป็นของผู้ร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องผู้เห็นเป็นใจยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายหรือไม่เห็นว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเงินทุนในกิจการต่าง ๆ รวมทั้งการให้เช่าซื้อมิได้มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าไม้ อันเป็นเหตุให้มีการจับกุมจำเลยที่ 1 มาดำเนินคดีในความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ถูกศาลลงโทษแต่อย่างใดทั้งการที่รถยนต์ของกลางเคยถูกเจ้าพนักงานป่าไม้ยึดไว้ในครั้งแรกนั้นตามคำเบิกความของนายผจญ ธนมิตรมณี พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยที่ 2 และยึดรถยนต์ของกลางว่า ไม่มีพนักงานของผู้ร้องร่วมด้วยส่วนในความผิดครั้งนี้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของกลางของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำผิดอย่างไร ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share