คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีร้องขัดทรัพย์ที่ สข.8/2554 จะถึงที่สุด จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ที่ขอให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่และยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้อง ซึ่งไม่ทำให้คดีตามคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องเสร็จไปจากศาล และมิใช่เป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 227, 228 ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามาจึงไม่ชอบ แม้จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อมา ก็ต้องถือว่าฎีกาของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 290,000 บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าเช่าที่ค้างและค่าขาดประโยชน์ 178,213.08 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนหรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน 19 เดือน กับค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 99913 ตำบลปากเกร็ด (สีกัน) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีชื่อของนายสุรนาท บุตรจำเลยที่ 3 อีกกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในคดีนี้
จำเลยที่ 3 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีหมายเลขดำที่ สข.8/2554 ยังไม่ถึงที่สุด จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วให้ผู้ร้องแถลงภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุดเพื่อให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาต่อไป หากไม่แถลงภายในกำหนดให้ถือว่าทิ้งคำร้องตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2555
วันที่ 28 มกราคม 2556 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่ และยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว และกรณีไม่ปรากฏว่าคดีร้องขัดทรัพย์ หมายเลขดำที่ สข.8/2554 ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีเหตุให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณา ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีร้องขัดทรัพย์ที่ สข.8/2554 จะถึงที่สุด ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ที่ขอให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่และยกคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้อง จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งไม่ทำให้คดีตามคำร้องขอเฉลี่ยของผู้ร้องเสร็จไปจากศาล และมิใช่เป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227, 228 ที่ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามาจึงไม่ชอบ แม้จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อมา ก็ต้องถือว่าฎีกาของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยที่ 3 คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่จำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share