คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับธนาคารโจทก์ และฝากเงินในวันเดียวกัน หลังจากนั้นจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีและนำเงินฝากเข้าบัญชีหลายครั้ง โดยโจทก์จะคิดหักยอดเงินในบัญชีทุกครั้ง หากจำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินกว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชี โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินที่เป็นหนี้ตามประเพณีของธนาคาร ดังนี้ เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่เรียกจำนวนเงินที่ถูกต้องภายในอายุความ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามข้อฎีกาของโจทก์ว่า การปฎิบัติต่อกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเข้าลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่ และโจทก์ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยเพียงไร ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2521 จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์สาขาราชเทวี ตามเอกสารหมาย จ.5 จ.6 และจำเลยได้ฝากเงินในวันเดียวกัน จำนวน 20,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีและนำเงินฝากเข้าบัญชีหลายครั้งโดยโจทก์จะคิดหักยอดเงินในบัญชีทุกครั้ง หากปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้เบิกเงินเกินกว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชี โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินที่เป็นหนี้ ตามประเพณีของธนาคาร ซึ่งจำเลยก็ยอมถือปฏิบัติเช่นนั้นกับโจทก์ตั้งแต่ต้นตลอดมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2522 จำเลยก็ยังได้นำเงินฝากเข้าบัญชีครั้งสุดท้ายเป็นจำนวนเงิน 3,200 บาท แล้วหลังจากนั้น จำเลยก็ไม่นำเงินเข้าฝากอีกเลย ดังปรากฏรายการบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ตามเอกสารหมาย จ.7 ดังนี้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการตกลงยอมถือปฎิบัติต่อกันระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่ใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัดเพราะไม่มีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่แรกถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2522 เป็นการคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระอันเป็นโมฆะ ทั้งไม่สามารถแยกส่วนดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะออกมาได้ จึงพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงไรนั้น โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2523 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2524 และร้อยละ 19 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2522 ถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2524 นั้น ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว ทั้งข้อนำสืบของโจทก์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้ โจทก์จึงไม่ชอบที่จะให้จำเลยรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นอีก คงชอบแต่ที่จะใช้ดอกเบี้ยทบต้นตามข้อตกลงเดิม คือ ร้อยละ 15 ต่อปี จนถึงวันเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งในข้อนี้ ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์อ้างว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปี เพียงวันที่ 14 มกราคม 2523 แต่บัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามเอกสารหมาย จ.7 ไม่ปรากฏว่าโจทก์หักทอนบัญชีให้เห็นยอดจำนวนหนี้ในวันดังกล่าว และหลังจากนั้นโจทก์ก็คิดดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี และ 19 ต่อปีตลอดมา ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิคิดได้ดังวินิจฉัยข้างต้น รวมตลอดถึงหนังสือของทนายโจทก์ที่ให้จำเลยชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดเพียงวันที่ 27 ตุลาคม 2523 เป็นจำนวนเงิน 100,927.63 บาท ก็ไม่ถูกต้อง เพราะคิดดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 18 ต่อปีรวมไว้ด้วยแต่อย่างไรก็ตาม โจทก์ฎีกามาด้วยว่า หลังจากจำเลยนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2522 แล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 86,015.69 บาท จำเลยจึงควรรับผิดใช้หนี้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2522 ถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 22,906.09 บาท รวมกับเงินต้นเป็น 108,921.78 บาท กับดอกเบี้ยอัตราตามกฎหมายในต้นเงิน 86,015.69 บาท จากวันฟ้องไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวน้อยกว่าที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้อง ทั้งข้อเท็จจริงถือได้ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดได้เลิกเพราะโจทก์หักทอนบัญชีและติดใจเรียกร้องเพียงเท่าที่ฎีกามา

พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 108,921.78 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คิดจากเงินต้น 86,015.69 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จให้แก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 1,500 บาท “

Share