แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่โจทก์รับซื้อฝากไว้ไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง เนื้อที่เพียง 1 ไร่ 74 ตารางวามีบ้านที่ผู้อื่นปลูกอยู่ก่อนแล้วหลายหลัง ตั้งอยู่ใกล้สุเหร่าซึ่งมิใช่ทำเลการค้า และโจทก์มิใช่บุคคลผู้มีอาชีพค้าขายที่ดิน พฤติการณ์ที่โจทก์รับซื้อฝากที่ดินแปลงดังกล่าวไว้ก็น่าเชื่อว่าประสงค์จะได้ดอกเบี้ยเท่านั้นและโจทก์ขายที่ดินแปลงนี้ภายหลังจากที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาแล้วถึง 6 – 7 ปี โดยมิได้ทำการปรับปรุงที่ดิน อีกทั้งเป็นการขายให้แก่ญาติของผู้ขายฝากที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ดินแปลงนั้นในราคาเท่าที่ซื้อฝากไว้เพราะความสงสารที่เป็นคนยากจน ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีการค้าก็ต่อเมื่อเป็นรายรับที่ได้มาจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเท่านั้น เมื่อการขายที่ดินของโจทก์มิใช่เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งภาษีการค้าสั่งให้โจทก์นำเงินภาษีการค้าประเภทที่ ๑๑ แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าสำหรับเดือนมกราคม ๒๕๒๖ รวมทั้งเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม จำนวน๒๐,๐๗๓ บาท ไปชำระให้จำเลยที่ ๑ โดยอ้างว่าโจทก์ประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วยกับการตรวจสอบและการประเมินดังกล่าว จึงได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งประกอบด้วยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าโจทก์มิได้มีเจตนามุ่งมาก่อนว่าจะนำที่ดินแปลงนี้มาขายในทางการค้าหรือหากำไร การที่โจทก์รับซื้อฝากที่ดินไว้ก็เพื่อหวังจะได้ค่าสินไถ่หรือดอกเบี้ยเท่านั้น ทั้งโจทก์มิใช่ผู้มีอาชีพเป็นผู้ประกอบการค้า แต่มีอาชีพรับราชการ และเพิ่งขายที่ดินไปเพียงแปลงเดียวหลังจากที่ได้กรรมสิทธิ์มาถึง ๖ ปี ถือได้ว่าเป็นการขายสมบัติเก่า ไม่เข้าลักษณะเป็นการประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามประเภทการค้า ๑๑ ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายลักษณะ ๒ หมวด ๔ แห่งประมวลรัษฎากร ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า นอกจากโจทก์จะรับซื้อฝากที่ดินตามฟ้องแล้ว จำเลยยังได้รับซื้อฝากที่ดินแปลงอื่นอีก ต่อมาโจทก์ได้ขายที่ดินแปลงตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปในราคา๔๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ดินโดยรับซื้อฝากเป็นปกติธุระ เป็นการมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร การขายที่ดินตามฟ้องจึงเข้าลักษณะเป็นการประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท ๑๑ และเมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑แจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบ โจทก์ก็ตกลงยินยอมชำระภาษีตามนั้น โดยขอลดเบี้บปรับลงซึ่งเจ้าพนักงานประเมินพิจารณาลดให้แล้ว และโจทก์คงรับผิดชำระภาษีให้จำเลยที่ ๑ แล้ว การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินที่โจทก์รับซื้อฝากไว้ไม่มีทางรถยนต์เข้าถึง เนื้อที่เพียง๑ ไร่ ๗๔ ตารางวา มีบ้านผู้อื่นปลูกอยู่ก่อนแล้วหลายหลังทั้งอยู่ใกล้สุเหร่า ไม่ใช่ทำเลการค้า และโจทก์มิใช่บุคคลผู้มีอาชีพค้าที่ดิน พฤติการณ์ที่โจทก์รับซื้อฝากไว้น่าเชื่อว่าประสงค์จะได้ดอกเบี้ย หาได้ประสงค์มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ขายที่ดินแปลงนี้ภายหลังที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาแล้วถึง ๕ – ๖ ปี โดยมิได้ทำการปรับปรุงที่ดินและเป็นการขายให้แก่ญาติของผู้ขายฝากที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่ดินแปลงนั้นในราคาเท่าที่ซื้อฝากไว้เพราะความสงสารที่เป็นคนยากจน ถือไม่ได้ว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร อันจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด ๔ ลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร ข้อที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า นอกจากโจทก์จะมีอาชีพรับราชการแล้ว ยังมีอาชีพประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ โดยซื้อฝากที่ดินไว้ถึงสองรายเข้าลักษณะตามกฎหมายที่จะต้องเสียภาษีการค้านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าที่กล่าวมาแล้ว ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า ๑๑ การค้าอสังหาริมทรัพย์จะต้องเสียภาษีการค้าต่อเมื่อเป็นรายรับที่ได้มาจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรเท่านั้น เมื่อการขายที่ดินของโจทก์มิใช่เป็นทางค้าหรือหากำไรดังวินิจฉัยแล้ว โจทก์จึงหามีหน้าที่จะต้องเสียภาษีการค้าไม่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยคดีชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.