คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำเบิกความของผู้เสียหายได้ความเพียงว่า บ. ซึ่งนั่งคร่อมซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจอดอยู่ริมถนนเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ขับรถผ่านหน้าไปในระยะห่างเพียง2เมตรแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายแม้จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์ตามผู้เสียหายไปแต่ไม่ปรากฏว่าตามไปในลักษณะใดอีกทั้งเมื่อผู้เสียหายจอดรถแล้ววิ่งย้อนกลับมาตามทางเดิมจำเลยกับพวกก็ยังขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเลยไปโดยมิได้ติดตามยิงผู้เสียหายอีกจึงอาจเป็นว่า บ.ยิงขู่ผู้เสียหายเท่านั้นประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ที่บ้านจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยมิได้หลบหนีและให้การปฏิเสธตลอดมาพยานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 23 กรกฎาคม 2536 เวลา ประมาณ18.30 นาฬิกา จำเลย กับพวก อีก หลาย คน ซึ่ง หลบหนี ยัง ไม่ได้ ตัว มา ฟ้องได้ ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน ยิง นาย เจษฎา เวชกลับ ผู้เสียหาย หลาย นัด โดย มี เจตนาฆ่า จำเลย กับพวก ลงมือ กระทำ ความผิด ไป โดย ตลอด แล้วแต่การกระทำ ไม่บรรลุผล เนื่องจาก กระสุนปืน พลาด ไม่ ถูก ผู้เสียหายผู้เสียหาย จึง ไม่ถึง แก่ ความตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย กับพวก เหตุ เกิด ที่ตำบล ท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัด สุราษฎร์ธานี ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบ มาตรา 83 จำคุก 10 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่า น้องสาว จำเลยได้ หนี ตาม นาย เจษฎา เวชกลับ ผู้เสียหาย ไป อยู่กิน เป็น สามี ภรรยา กัน เป็นเหตุ ให้ จำเลย กับ นาย บัญชา สังวาลไพร โกรธ แค้น ต่อมา ก่อน เกิดเหตุ 6 เดือน น้องสาว จำเลย ถูก ญาติ ผู้ใหญ่ บังคับ ให้ เลิก ร้างกับ ผู้เสียหาย เมื่อ วันที่ 23 กรกฎาคม 2536 เวลา 17 นาฬิกานาง ประไพศรี แซ่หว่อ เจ้าของ โรง เลื่อย จรัสกิจ และ เป็น นายจ้าง ของ ผู้เสียหาย ใช้ ผู้เสียหาย ไป ตาม คนขับ รถ ที่ กิโลเมตร ที่ 18ถนน สาย สุราษฎร์ธานี-ตะกั่วป่า ห่าง จาก โรง เลื่อย ประมาณ 9 กิโลเมตร ผู้เสียหาย ขับ รถจักรยานยนต์ ออก ไป ตาม แต่ ไม่พบ จึง เดินทาง กลับระหว่าง ทาง มา ถึง กิโลเมตร ที่ 15 ขณะ นั้น เป็น เวลา 18.30 นาฬิกาจำเลย นาย บัญชา กับ ชาย อีก คนหนึ่ง ซึ่ง ผู้เสียหาย ไม่รู้ จัก นั่ง คร่อม รถจักรยานยนต์ จอด อยู่ ริมถนน เมื่อ ผู้เสียหาย ขับ รถจักรยานยนต์ผ่าน หน้า ใน ระยะ ห่าง ประมาณ 2 เมตร นาย บัญชา ได้ ล้วง อาวุธปืน จาก เอว ยิง ผู้เสียหาย 2 นัด แต่ ไม่ ถูก ผู้เสียหาย จึง เร่งเครื่องหลบหนี แต่ เนื่องจาก รถจักรยานยนต์ เก่า เมื่อ ขับ ไป ได้ ประมาณ 100 เมตรเห็นว่า หนี ไม่ พ้น จึง จอดรถ จักรยานยนต์ ทิ้ง หนี ลง ข้างทาง ซึ่ง มี ต้น อ้อกับ ต้น พงขึ้น อยู่ แล้ว วิ่ง ย้อนกลับ ไป ทาง กิโลเมตร ที่ 18 เข้า ไปขอ ความ ช่วยเหลือ จาก นาย ดาบตำรวจ อาวุธ วงศ์เสถียร ขณะ ปฏิบัติ หน้าที่ ออก ดูแล ความสงบ เรียบร้อย อยู่ ที่ บริษัท ยูโรสยามรับเบอร์ จำกัด นาย ดาบตำรวจ อาวุธ แจ้ง ทาง สถานีตำรวจภูธร อำเภอ พุนพิน ทราบ เหตุ นำ กำลัง ออก สกัด จับ คนร้าย หลังจาก นั้น ผู้เสียหาย ได้ ไป แจ้งความ ต่อร้อยตำรวจโท ธานี มยุรา พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ พุนพิน จังหวัด สุราษฎร์ธานี พนักงานสอบสวน ออก ไป ตรวจ ที่เกิดเหตุ ทำ บันทึกการ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ และ แผนที่ สังเขป แสดง สถานที่เกิดเหตุ ไว้ต่อมา เวลา 23.30 นาฬิกา ร้อยตำรวจโท ไกรจักร สุดสาคร จับ จำเลย ได้
จำเลย นำสืบ ปฏิเสธ อ้าง ฐาน ที่อยู่
พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย ว่าจำเลย กระทำผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ โจทก์ มี ผู้เสียหาย เบิกความ เป็น พยาน ว่าวันเกิดเหตุ เวลา 18.30 น. ขณะ นั้น ยัง ไม่ มืด ผู้เสียหาย ขับรถจักรยานยนต์ มา ถึง ที่เกิดเหตุ เห็น จำเลย นั่ง คร่อม รถจักรยานยนต์ใน ตำแหน่ง ผู้ขับขี่ อยู่ ริมถนน มี นาย บัญชา สังวาลไพร นั่ง ซ้อน ท้าย และ ชาย อีก คนหนึ่ง ไม่รู้ จัก นั่ง ซ้อน ท้าย เห็น ครั้งแรก ใน ระยะ 50 เมตรเมื่อ ขับ รถ ผ่าน หน้า ห่าง กัน 2 เมตร เห็น นาย บัญชา ล้วง อาวุธปืน จาก เอว ยิง มา ที่ ผู้เสียหาย 2 นัด ผู้เสียหาย ขับ รถ หนี จำเลย กับพวกขับ รถจักรยานยนต์ ตาม เนื่องจาก รถจักรยานยนต์ ของ ผู้เสียหาย มี สภาพ เก่าจึง ลง จาก รถ หนี ไป แจ้งความ ต่อ เจ้าพนักงาน ตำรวจ คืน นั้น เจ้าพนักงานตำรวจ จับ จำเลย ได้ ก่อน เกิดเหตุ ประมาณ 1 ปี น้องสาว จำเลย หนี ตามผู้เสียหาย ไป เป็นเหตุ ให้ จำเลย กับ นาย บัญชา โกรธ แค้น ผู้เสียหาย นาย ดาบตำรวจ อาวุธ วงศ์เสถียร เบิกความ เป็น พยานโจทก์ ว่า วันเกิดเหตุ เวลา 21.30 น. ผู้เสียหาย ไป แจ้งความ ว่า จำเลย กับพวกใช้ อาวุธปืน ยิง เห็นว่า จาก ข้อเท็จจริง ที่ ได้ความ จาก คำของ ผู้เสียหายทราบ ว่า นาย บัญชา เป็น ผู้ยิง ผู้เสียหาย ใน ระยะ ห่าง เพียง 2 เมตร แต่ กระสุนปืน ไม่ ถูก ผู้เสียหาย แต่อย่างใด แม้ ผู้เสียหาย จะ เบิกความ ว่าจำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ ตาม ไป แต่ ไม่ปรากฏ ว่า ตาม ไป ใน ลักษณะ ใดแต่ ผู้เสียหาย กลับ เบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า ผู้เสียหายขับ รถจักรยานยนต์ หนี ไป ได้ 100 เมตร จึง จอดรถ แล้ว วิ่ง ย้อนกลับ มา ทางกิโลเมตร 18 โดย วิ่ง บน ไหล่ ทาง ข้าง ถนน ส่วน จำเลย กับพวก ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไป ทาง โรง เลื่อย แสดง ว่า นาย บัญชา ยิง ผู้เสียหาย แล้ว จำเลย และ นาย บัญชา มิได้ ติดตาม ยิง ผู้เสียหาย อีก ข้อเท็จจริง จึง อาจ เป็น ว่า นาย บัญชา ยิง ขู่ ผู้เสียหาย เท่านั้น กรณี ยัง ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลย กับพวก มี เจตนาฆ่า ผู้เสียหาย ดังนั้น เมื่อ พิจารณา ประกอบ กับเจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ได้ ที่ บ้าน จำเลย ใน วันเกิดเหตุ โดย จำเลยมิได้ หลบหนี และ ให้การ ปฏิเสธ ตลอดมา พยานโจทก์ ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลยกระทำ ความผิด ตาม ฟ้อง ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ลงโทษ จำเลย นั้นศาลฎีกา ไม่เห็น พ้อง ด้วย ฎีกา จำเลย ฟังขึ้น ”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share