คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4457/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 รับประกันภัยค้ำจุนสำหรับการใช้รภยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ตามกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดเรื่องการโอนรถยนต์ว่ากรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเมื่อผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์ให้บุคคลอื่นเว้นแต่รถยนต์ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมหรือโดยบัญญัติกฎหมาย ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้กำหนดเงื่อนไขให้กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเพราะเหตุผู้เอาประกันภัยถึงแก่กรรม ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะถึงแก่กรรมก่อนเกิดเหตุ แต่ขณะเกิดเหตุ ว. ภรรยาของจำเลยที่ 2 เป็นทายาทและรับมรดกสืบสิทธิจากจำเลยที่ 2 ผู้ตายในฐานะผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 1 ซึ่งเดิมเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงยังคงเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกคันที่เอาประกันภัยไว้โดย ว. ว่าจ้างต่อ เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของ ว. ผู้เป็นนายจ้าง ว. จึงมีความผูกพันต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 3 ย่อมต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนต่อโจทก์ด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อในทางการจ้าง ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างและปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมตั้งแต่ก่อนฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้เอาประกันภัยค้ำจุนสำหรับการใช้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-0834 ราชบุรี ไว้ต่อจำเลยที่เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2525 มีกำหนด 1 ปี สิ้นสุดในวันที่ 13กันยายน 2525 มีกำหนด 1 ปี สิ้นสุดในวันที่ 13 กันยายน 2526 ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2526 และคดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน2526 โดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวด้วยความประมาทอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เห็นว่า จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะถึงแก่ความตายก่อนเกิดเหตุละเมิดคดีนี้ แต่รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวก็ยังอยู่ในอายุการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยของจำเลยที่ 3 อีกทั้งกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวก็ยังมีข้อกำหนดข้อ 1.13 เรื่องการโอนรถยนต์ว่า กรมธรรม์ประกันภัยนี้สิ้นผลบังคับเมื่อผู้เอาประกันภัยได้โอนรถยนต์ให้บุคคลอื่นเว้นแต่รถยนต์ได้เปลี่ยนมือจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมหรือโดยบัญญัติกฎหมาย ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้กำหนดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับเพราะเหตุผู้เอาประกันภัยถึงแก่กรรม นอกจากนั้นแล้วได้ความจากนายมานิจ ธนานุวงศ์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอุบัติเหตุของโจทก์ที่ออกไปดูที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุว่า ได้พบ จำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นลูกจ้างขับรถให้จำเลยที่ 2 และนายสุรเชษฐ์ ภูวจรูญกูร หัวหน้าตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ 3 ว่าหลังวันเกิดเหตุ 1 วัน พยานได้รับแจ้งจากนางวิมล ดาราพาณิชย์ซึ่งอ้างว่าเป็นภรรยาของจำเลยที่ 2 ว่า รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 เอาประกันภัยไว้ถูกชนและแจ้งด้วยว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่มีนาคม 2526 จึงทำให้รับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้นางวิมลเป็นทายาทและรับมรดกสืบสิทธิจากจำเลยที่ 2 ผู้ตายในฐานะผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 1 จึงยังคงเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกคันที่เอาประกันภัยไว้ โดยนางวิมลภรรยาของจำเลยที่ 2 ว่าจ้างต่อ เมื่อจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของนางวิมลนายจ้าง นางวิมลจึงมีความผูกพันต้องรับผิดต่อโจทก์ ดังนั้น จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกดังกล่าวย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
พิพากษายืน.

Share