แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยถูก ม. ฟ้องเป็นคดีแพ่งและยึดที่ดินมีหลักฐานน.ส.3 ของจำเลยออกขายทอดตลาด และ ม. เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาด จำเลยซึ่งอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาก่อนย่อมทราบดีว่า ม. ได้สิทธิครอบครองในที่ดินแล้ว การที่จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต่อมาจึงเป็นการยึดถือที่ดินไว้แทน ม. เท่านั้น หาใช่ยึดถือเพื่อตนเองไม่หากจำเลยจะยึดถือเพื่อตนอย่างเป็นเจ้าของ ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 คือบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยัง ม. จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม มาตรา 1382
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์ไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2/1 ออกจากที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการไม่ได้ใช้ประโยชน์บนที่ดินเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินพิพาทห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปรบกวนสิทธิในที่ดินพิพาทอีก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทราบมาก่อนจดทะเบียนซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาก่อนเกิน 10 ปี และได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางม้วนโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้องกับพิพากษาแสดงว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิระหว่างโจทก์กับนางม้วนและจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นในฟ้องแย้งนอกจากนี้ ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยถึงแก่กรรมภรรยาจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินมีหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่ม 1 หน้า 10 เลขที่ 46 หมู่ที่ 6 ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และเดิมเป็นที่ดินของนายหาญ ปัญญายงค์ บิดาจำเลยปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์หมาย จ.11หลังจากบิดาจำเลยถึงแก่กรรมแล้ว ต่อมาในปี 2507 นางม้วน หลักบ้านได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง และยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้นางม้วนได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดเมื่อเดือนเมษายน2508 แล้วขอออกโฉนดที่ดินเมื่อ พ.ศ. 2517 ตามสำเนาภาพถ่ายโฉนดเอกสารหมาย จ.10 ต่อมานางม้วนแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดหมาย จ.10ออกเป็นแปลงย่อยเมื่อ พ.ศ. 2518 โจทก์ซื้อที่ดินแปลงที่แบ่งแยกออกมารวม 2 แปลง จากนางม้วนเมื่อ พ.ศ. 2521 คือที่ดินพิพาททั้งสองโฉนดตามฟ้อง ปรากฏตามโฉนดที่ดินเลขที่ 16511 และ 16512เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ซึ่งมีเขตที่ดินติดต่อเป็นแปลงเดียวกันมีบ้านเลขที่ 2/1 ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตั้งแต่พ.ศ. 2500 จำเลยได้อยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยถูกนางม้วนฟ้องเป็นคดีแพ่ง และยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้ และนางม้วนได้ซื้อที่ดินทั้งแปลงซึ่งรวมที่ดินพิพาทด้วยจากการขายทอดตลาดชำระหนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2508 จำเลยซึ่งแม้มีบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาก่อน ย่อมทราบดีว่า นางม้วนได้สิทธิครอบครองในที่ดินแล้ว การที่จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต่อไปหลังจากที่นางม้วนซื้อที่ดินแล้วจึงเป็นการยึดถือที่ดินไว้แทนนางม้วนเท่านั้น หาใช่ยึดถือเพื่อตนเองไม่ หากจำเลยจะยึดถือเพื่อตนเองโดยเจตนาเป็นเจ้าของจำเลยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป” ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังนางม้วน พฤติการณ์ของจำเลยตามที่จำเลยนำสืบไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทต่อนางม้วนและต่อโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ จำเลยก็ต้องออกไปโดยไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปและฟังว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายในการไม่ได้ใช้ประโยชน์บนที่ดินพิพาทแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 2/1และให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 16911และ 16912 ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตของโจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทของโจทก์กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการไม่ได้ใช้สิทธิบนที่ดินพิพาทแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ6,500 บาท และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย