แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่ทำนาโดยอาศัยสิทธิของผู้เช่านานั้น ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญํติการเช่านา พ.ศ. 2493
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ให้นายลอยบุตรเขยโจทก์ไปเช่านานางฉวีมาทำ จำเลยขออาศัยโจทก์และนายลอยทำกินครึ่งแปลง แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ โจทก์ไม่อนุญาตให้จำเลยทำและโจทก์เข้าไถและหว่านข้าวไปบ้างแล้ว จำเลยเข้าหว่านข้าวทับที่และกีดกันโจทก์ ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่นาพิพาท กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เช่านา ความจริงนายลอยเช่า แต่เลิกมา ๒ ปีแล้ว นางฉวีจึงให้จำเลยทำ โจทก์เคยขออาศัยจำเลยทำ แล้วเข้าแย่งทำอีกในปีที่เกิดเหตุ ค่าเสียหายก็เรียกมากเกินไป
ศาลชั้นต้นฟังว่า นายลอยเช่านานางฉวีเป็นการส่วนตัว โจทก์ไม่มีฐานะเป็นผู้เช่า แม้เคยทำนาก็โดยอาศัยสิทธินายลอย ๆ ตาย สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ จำเลยเช่านานางฉวีทำต่อมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเข้าทำนาใน พ.ศ. ๒๕๐๒ ไม่มีสิทธิห้ามจำเลยและเรียกค่าเสียหายในการที่ไม่ได้ทำนา แต่จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะทำลายต้นข้าวที่โจทก์หว่านไว้ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๕๐๐ บาท
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อที่ให้จเลยใช้ค่าเสียหายด้วย
โจกท์ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ ๗ ที่ว่า บุตรของนายลอยยังอยู่กับโจทก์ และตราบใดที่นางฉวียังไม่ได้จัดการเลิกการเช่ากับโจทก์ สิทธิในการทำนาของโจทก์ยังได้รับความคุ้มครองอยู่ จำเลยไม่มีอำนาจแย่งการทำนา เว้นแต่จะได้จัดการตามมาตรา ๑๔, ๑๐ ข้อ ๕ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๔๙๓
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายนี้ ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว เรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิใช่คู่สัญญากับนางฉวี นายลอยเป็นผู้เช่านาจากนางฉวีมาทำเอง โจทก์อาศัยสิทธินายลอยทำนา เพราะฉะนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๔๙๓
พิพากษายืน