แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายจำเลยที่ว่า ทนายจำเลยติดธุระต้องเดินทางไปศาลจังหวัดอื่นเพื่อยื่นคำให้การในคดีแพ่งเรื่องอื่นซึ่งครบกำหนดยื่นคำให้การในวันนั้นพร้อมกับสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีดังกล่าวด้วย มิใช่เหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ จำเลยขออนุญาตยื่นคำให้การหลังจากทราบว่าถูกฟ้องแล้วเกือบ1 ปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต ดังนี้แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์ แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมเบิกความเนื่องจากไม่มีทนายความซักถาม ทั้งที่ข้อเท็จจริงต่าง ๆในคดีจำเลยย่อมทราบดี และสามารถเบิกความตามความเป็นจริงได้ตามรูปคดีแม้มีทนายซักถามก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดี ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งงดสืบพยานจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินโดยแบ่งแยกส่วนจากที่ดินเดิม แล้วโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนที่แยกมาดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลย โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือตามสัญญาในวันที่จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ หากที่ดินที่รังวัดแบ่งแยกมีเนื้อที่เกินกว่า 6 ไร่ ให้จำเลยรับชำระราคาที่ดินในส่วนที่เกินด้วย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ มีคำสั่งไม่อนุญาต
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นไม่อนุญาตและให้สืบพยานจำเลยต่อ จำเลยแถลงไม่สามารถเบิกความได้ต้องให้ทนายความเป็นผู้ซักถาม ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดี จึงมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลย จำเลยโต้แย้งคำสั่งไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนที่ขายให้โจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 28274 จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ 6 ไร่เศษ โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ โดยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือในวันโอนกรรมสิทธิ์ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยโดยให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการขอรังวัดและแบ่งแยกที่ดินเองและให้โจทก์วางเงินค่าที่ดินที่เหลือกับราคาที่ดินส่วนที่เกิน 6 ไร่ต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า การที่ทนายจำเลยเดินทางไปสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำให้การที่ศาลจังหวัดระยอง เป็นการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่ทนายจำเลยได้สอบไว้แล้ว หาใช่ว่าทนายจำเลยมิได้สอบข้อเท็จจริงอันใดไว้เลย การที่ทนายจำเลยต้องไปยื่นคำให้การในวันครบกำหนด ก็เพราะทนายจำเลยมีคดีเรื่องอื่นที่จะต้องดำเนินการอยู่ก่อน และตัวความในคดีดังกล่าวก็เพิ่งจะนำสำเนาคำฟ้องมามอบให้ทนายจำเลยทำคำให้การแก้คดีก่อนครบกำหนดเวลายื่นคำให้การเพียงไม่กี่วันประกอบกับจำเลยในคดีนี้เพิ่งจะติดต่อหาทนายได้ ดังนั้นที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีจึงมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ศาลชั้นต้นควรอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีนั้นได้ความว่า วันที่ 6 กรกฎาคม 2533 ทนายจำเลยคนแรกถอนตนจากการเป็นทนายจำเลย วันที่ 7 สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยจำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยยังหาทนายความไม่ได้ ขอเลื่อนคดีไปสักนัดเพื่อหาทนายความ ในนัดหน้าไม่ว่าจำเลยจะหาทนายความได้หรือไม่จำเลยจะไม่ขอเลื่อนคดีอีก ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 23 สิงหาคม 2533 ครั้นถึงวันนัดจำเลยแต่งทนายความคนใหม่และทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความมายื่นคำร้องว่า ทนายจำเลยติดธุระต้องเดินทางไปศาลจังหวัดระยองเพื่อยื่นคำให้การในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ซึ่งครบกำหนดยื่นคำให้การในวันนี้ พร้อมกับสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีดังกล่าวด้วย จึงขอเลื่อนคดีไปอีกนัดหนึ่งพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ระยะเวลาตั้งแต่ทนายจำเลยคนแรกขอถอนตนจนถึงวันที่จำเลยแต่งทนายความคนใหม่เป็นเวลาเดือนเศษ ซึ่งนับว่าเป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจำเลยติดต่อทนายความคนใหม่ จำเลยก็ต้องแจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยและข้อความที่จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจะไม่เลื่อนคดีอีกให้ทนายจำเลยใหม่ทราบเพราะเป็นเรื่องสำคัญดังนั้น การที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุดังกล่าวซึ่งมิใช่เหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ เพราะทนายจำเลยมีโอกาสที่จะยื่นคำให้การได้หลายวันมิใช่มาสอบข้อเท็จจริงแล้วยื่นคำให้การในวันครบกำหนดยื่นคำให้การ ทั้งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยดังกล่าวมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรม พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้เป็นการไม่นำพาต่อกำหนดนัดของศาล ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้นชอบแล้ว และที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยสามารถเบิกความเองต่อศาลได้ แต่หากจำเลยเบิกความไปโดยลำพัง ไม่มีทนายความช่วยซักถามย่อมทำให้จำเลยเสียเปรียบเหตุขัดข้องมาจากทนายจำเลยจำเลยไม่มีเจตนาประวิงคดี ศาลชั้นต้นไม่ควรงดสืบพยานจำเลยนั้นได้ความว่า จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเมื่อต้นปี 2532 แต่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเกือบ 1 ปี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ในกรณีเช่นนี้จำเลยอาจสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์ได้ แต่หาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในคดีจำเลยย่อมทราบดี ซึ่งจำเลยสามารถเบิกความต่อศาลตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องมีทนายความซักถาม ตามรูปคดีถึงแม้ว่ามีทนายความซักถามก็ไม่ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยไม่ยอมเบิกความทั้งพฤติการณ์ของจำเลยที่ปรากฏในสำนวนส่อให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาประวิงคดีที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน