คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่ขายทอดตลาดได้เป็นราคาที่ต่ำเกินไป จึงเป็นการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสองเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย ดังนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสี่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและค้ำประกัน คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันยอมชำระเงินจำนวน 391,485.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ผิดนัดชำระงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เลย ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 67530 ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เนื้อที่ 3 งานเศษพร้อมตึกแถว 4 ชั้น 1 คูหา เลขที่ 1/89 ของจำเลยที่ 1โดยราคาที่ดินที่ประเมินไว้ตารางวาละ 2,500 บาท ทั้งแปลงเป็นเงิน 814,250บาท และราคาตึกแถวที่ประเมินไว้เป็นเงิน 1,500,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,314,250 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2540 และอนุญาตให้ขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวแก่ผู้ซื้อทรัพย์ในราคา 3,000,000 บาท ซึ่งขายที่ดินโดยปลอดจำนอง

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า การขายทอดตลาดดังกล่าวไม่ชอบ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในราคาต่ำเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยใช้ราคาประเมินรุ่นเก่า ซึ่งราคาประเมินที่ดินปัจจุบันประเมินราคาไว้ตารางวาละ4,000 บาททั้งแปลงเป็นเงิน 1,260,000 บาท สิ่งปลูกสร้างประเมินราคาตารางวาละ 3,950 บาท เนื้อที่ 960 ตารางเมตร คิดเป็นเงิน 3,792,000 บาท รวมที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างราคาทั้งสิ้น 5,000,000 บาท โจทก์และจำเลยที่ 1 คัดค้านการขายทอดตลาดในราคาดังกล่าว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ฟัง และไม่ให้โอกาสแก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไปหาผู้เข้าร่วมประมูลการขายทอดตลาด ประกอบกับโจทก์และจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนการขายทอดตลาดเนื่องจากมีการชำระเงินบางส่วนแล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมเนื่องจากทราบว่า ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ขอรับชำระหนี้จำนองทรัพย์ดังกล่าวจะเข้าร่วมประมูล ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การขายทอดตลาดชอบแล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสองบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 309 ทวิ วรรคสองถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ เมื่อศาลเห็นสมควรไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงหรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าวยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะ หรือมีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างใดตามที่ศาลเห็นสมควร” และมาตรา 309 ทวิ วรรคสองบัญญัติว่า “ในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีเห็นว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินมีจำนวนต่ำเกินสมควรและการขายทอดตลาดทรัพย์สินในราคาต่ำเกินสมควรนั้นเกิดจากการคบคิดฉ้อฉลในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในการเข้าสู้ราคาหรือความไม่สุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติหน้าที่ บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ได้ และเมื่อศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าคำร้องนั้นรับฟังได้ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องนั้น” และวรรคสี่บัญญัติว่า “คำสั่งของศาลตามวรรคสองให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ได้ และคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด” คดีนี้จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่ขายทอดตลาดได้เป็นราคาที่ต่ำเกินไปเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังนั้นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นที่สุดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1

Share