คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10554/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและ ณ. ร่วมกันรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ หลังจากศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตและพิพากษายกฟ้องโจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ คดีส่วนที่ศาลพิพากษายกฟ้องจึงถึงที่สุด แม้จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งจำเลยทั้งสองยังฎีกาต่อมาก็ตาม แต่ขณะจำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งในคดีเดิม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีไว้ก่อนโดยดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อมาและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด คดีในส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งจึงเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์ ทั้งศาลฎีกาในคดีเดิมมีคำสั่งไม่รับคดีของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ผลของคำสั่งศาลฎีกาย่อมไม่กระทบต่อคำพิพากษาในคดีเดิมที่ถึงที่สุดแล้ว ประกอบกับจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งอันเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองทราบอยู่ก่อนแล้ว และยื่นภายหลังกำหนดเวลาตามกฎหมายเพื่อให้คดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณา พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมีเจตนาที่ไม่สุจริต จึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาอันเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,989,779.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,120,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,989,779.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,120,050 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์อนุมัติให้จำเลยทั้งสองเปิดบัญชีเครดิตเพื่อซื้อสินค้าจำพวกผลิตภัณฑ์อาหารนมจากโจทก์วงเงิน 300,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 มอบหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 200,000 บาท และหนังสือค้ำประกันของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รวม 2 ฉบับ จำนวน 1,000,000 บาท และ 700,000 บาท แก่โจทก์เป็นประกันหนี้กับมีพลเรือตรีณรงค์ ทำสัญญาค้ำประกันวงเงิน 100,000 บาท จำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์จนถึงเดือนเมษายน 2546 เป็นเงิน 3,320,500 บาท แล้วผิดนัด โดยชำระหนี้บางส่วน จำนวน 300,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมรับว่าจำเลยทั้งสองค้างชำระหนี้โจทก์ จำนวน 3,020,500 บาท ให้โจทก์เรียกเงินตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารรวม 1,900,000 บาท ที่เหลือตกลงผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละ 120,000 บาท ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546 โดยต้องชำระให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2546 หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ จำเลยทั้งสองยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระค่าสินค้าในแต่ละงวดที่ค้างชำระจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2547 โดยไม่ต้องหักเงินต้นที่ได้ชำระแก่โจทก์แล้ว รวมดอกเบี้ยเป็นเงิน 136,778.08 บาท รวมค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,257,278.08 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองจะชำระให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เมษายน 2547 ต่อมาธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้แก่โจทก์รวม 1,700,000 บาท ส่วนจำเลยทั้งสองไม่เคยผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองและพลเรือตรีณรงค์ ให้ร่วมกันรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ฉบับดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเนื่องจากหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2088/2548 ของศาลชั้นต้น คู่ความไม่อุทธรณ์คำพิพากษาและคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเนื่องจากล่วงเลยระยะเวลาขอแก้ไขคำให้การและมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2088/2548 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและพลเรือตรีณรงค์ร่วมกันรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ หลังจากศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและไม่รับฟ้องแย้งและพิพากษายกฟ้องโจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ คดีส่วนที่ศาลพิพากษายกฟ้องจึงถึงที่สุด แม้จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งจำเลยทั้งสองยังฎีกาต่อมาก็ตาม แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งในคดีเดิม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีไว้ก่อนโดยดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด คดีในส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งจึงเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์ ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลฎีกาในคดีเดิมมีคำสั่งไม่รับคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6688/2553 ผลของคำสั่งศาลฎีกาในคดีเดิมดังกล่าวย่อมไม่มีผลกระทบต่อคำพิพากษาในคดีเดิมซึ่งถึงที่สุดแล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 22 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นเวลาที่คดีเดิมถึงที่สุดไปแล้ว ประกอบกับที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง อันเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองทราบอยู่ก่อนแล้วและยื่นภายหลังกำหนดเวลาตามกฎหมายเพื่อให้คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณา พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมีเจตนาที่ไม่สุจริต จึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาอันจะเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นและเพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า เมื่อคู่ความนำสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นตามฎีกาของโจทก์ต่อไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share