แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายตำรวจใช้จำเลยที่ 1 พนักงานขับรถยนต์ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 นำรถออกนอกพื้นที่โดยมิได้ขออนุมัติก่อน แม้จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่วางไว้ก็ตาม เมื่อฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 นำรถออกนอกพื้นที่เป็นการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการมิใช่เป็นการไปทำธุระในเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ไปกระทำละเมิด ก็ต้องถือว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 2 อันเป็นผลให้กรมตำรวจจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุก ๖ ล้อ ตราโล่ ๐๕๓๔๓ ตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อไปราชการของจำเลยที่ ๓ ขณะที่จำเลยที่ ๑ ขับรถไปตามถนนสายนครพนม – สกลนคร มุ่งหน้าจะกลับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน ถิ่งอำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ถึงระหว่างกิโลเมตรที่ ๙ – ๑๐ ได้ขับรถแซงอย่างกะทันหันในที่คับขัน เพื่อขึ้นหน้ารถยนต์โดยสารซึ่งจอดอยู่ข้างทาง โดยขับแซงขึ้นทางด้านขวาด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับชนรถยนต์คันที่นายประยูร ชื่อสงวนสัตย์ ขับสวนทางมาในเส้นทางของตน เป็นเหตุให้นายประยูร ชื่อสงวนสัตย์ ถึงแก่ความตาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ขอคิดค่าเสียหายทั้งหมดเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนกันหรือร่วมกันแก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ รับราชการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกรมตำรวจจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ขับรถไปชนรถของนายประยูร ชื่นสงวนสัตย์ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในผลละเมิดที่เกิดขึ้น ฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นฟ้องเคลือบคลุม ค่าขาดไร้อุปการะโจทก์เรียกร้องสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์เหตุเกิดจากความประมาทของผู้ตายและเป็นกรณีสุดวิสัยที่จำเลยที่ ๑ จะหลีกเลี่ยงจากอุบัติเหตุนั้นได้ เหตุมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำรถยนต์ของทางราชการจำเลยที่ ๓ ออกไปใช้โดยพลการ และขับขี่ออกนอกเขตพื้นที่โดยพลการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๓ ตามระเบียบราชการ มิได้ใช้รถในราชการของจำเลยที่ ๓ สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป รวมค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้รับไม่เกิน ๖๖,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ร่วมกันชำระเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหาย
สำหรับประเด็นแรกซึ่งจำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า เหตุมิได้เกิดในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งได้นำรถออกนอกเขตพื้นที่โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชานั้น ข้อเท็จจริงที่ฝ่ายจำเลยนำสืบได้ความว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๙ ประจำอยู่เขตอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้สั่งให้จำเลยที่ ๑ ขับรถไปจังหวัดสกลนคร เพื่อเยื่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งประสบอุบัติเหตุและอยู่ที่โรงพยาบาล จังหวัดสกลนคร ในการนี้จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือขอนุมัติไปราชการที่จังหวัดสกลนคร แต่ก่อนออกเดินทางจำเลยที่ ๒ ได้รับรายงานว่ามีการลักลอบค้ายาเสพติดให้โทษที่จังหวัดนครพนม จึงได้ให้จำเลยที่ ๑ ขับรถไปที่จังหวัดนครพนมก่อนโดยยังมิได้ขออนุมัติการเดินทาง และระหว่างเดินทางกลับจากจังหวัดนครพนมมาที่จังหวัดสกลนครจึงเกิดเหตุครั้งนี้ พิเคราะห์แล้วไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยที่ ๓ ว่าการที่จำเลยที่ ๒ ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ขับรถออกนอกเขตพื้นที่และไปประสบเหตุครั้งนี้เป็นเรื่องกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ แต่อย่างใด แม้พันตำรวจโทจรูญ สาครเจริญ พยานจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นประธานการสอบสวนทางวินัยก็เบิกความว่าจำเลยที่ ๒ ได้วิทยุขออนุมัติการเดินทางไปจังหวัดนครพนมและสำหรับระเบียบที่วางไว้เกี่ยวกับการนำยานพาหนะออกนอกเขตพื้นที่นั้น พันตำรวจตรีทองม้าย ชาภูบาลประจำกองกำกับการ ๔ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเบิกใช้ยานพาหนะก็เบิกความว่า การนำรถออกนอกพื้นที่โดยไม่ขออนุมัติก่อน เมื่อได้รับอนุมัติในภายหลังก็ถือว่าเป็นการถูกต้งอ อันเท่ากับพยานจำเลยทั้งสองเห็นว่าจำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ ขับรถไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการ ดังนั้น แม้การกระทำของจำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ นำรถออกนอกพื้นที่โดยมิได้ขอนุมัติก่อนจะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบที่วางไว้ เมื่อฟังได้ว่าการที่จำเลยที่ ๒ สั่งให้จำเลยที่ ๑ นำรถออกนอกเขตพื้นที่ไปประสบเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนหนึ่ง มิใช่เป็นการไปทำธุระในเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ แล้วกรณีจึงต้องถือว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ ๒ อันเป็นผลให้จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ วรรคแรก
ส่วนประเด็นข้อสุดท้ายเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ ๓ โต้แย้งว่าสูงเกินไปนั้น พิเคราะห์แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ตามจำนวนที่โจทก์เรียกร้องมานั้น เห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน