คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4431/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันทำหนังสือคัดค้านไม่ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์โดยจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องคัดค้านได้ คดีโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะว่ากล่าวเอาผิดแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองกับพวกเป็นคดีแพ่ง อ้างว่าได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของและทำประโยชน์ในที่ดิน โจทก์ทั้งสองกับพวกจ้างวานหรือใช้ให้คนเข้าไปถอนหลักเขตและเผาทรัพย์สินในที่ดินเพื่อแย่งการครอบครองและโต้แย้งสิทธิของจำเลย ซึ่งเป็นข้อความที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินงดการไปทำการรังวัดที่ดินทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่าโจทก์ทั้งสองได้เข้าหุ้นกันซื้อที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 392 เนื้อที่32 ไร่ โดยทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองกัน โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองระยองให้ไปรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยได้ไปคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองระยอง โดยอ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินนั้นมาจากนางสำเหรียญ และนายเหลือ และอ้างว่าได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินในคดีหมายเลขดำที่ 60/2532 ของศาลชั้นต้นแล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ส.ค. 1 มีจำนวนเนื้อที่ถึง 32 ไร่ และระบุอาณาเขตของเนื้อที่ดินไว้อย่างกว้าง ๆ เท่านั้น ส่วนที่ดินที่จำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลย มีเนื้อที่เพียง 10 ไร่ ปกติการออก ส.ค.1เจ้าพนักงานจะออกให้ตามคำของผู้แจ้งโดยมิได้ไต่สวนหรือรังวัดเนื้อที่ให้เป็นที่แน่นอน จึงอาจเป็นไปได้ว่าที่ดินที่จำเลยซื้อกับที่ดินตาม ส.ค.1 มีอาณาเขตซ้อนกันอยู่หรือเป็นแปลงเดียวกันโจทก์ที่ 1 ก็เบิกความรับว่านางสำเหรียญและนายเหลือเป็นผู้อาศัยทำกินบนที่ดินที่โจทก์ซื้อมา ทั้งจำเลยก็ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวเป็นอีกคดีหนึ่งไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยคงเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องคัดค้านการขอรังวัดที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้คดีจึงไม่มีมูลที่จะว่ากล่าวเอาผิดแก่จำเลย
พิพากษายืน

Share