คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 443/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ปรับปรุงทางเท้าและทำถนนตามที่รับจ้างจากหน่วยราชการเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2516 แต่ได้รับค่าจ้างเมื่อเดือนมกราคม 2517 และรวมคำนวณกำไรสุทธิเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2517 แล้ว ย่อมเป็นการเสียภาษีที่ถูกต้อง ที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้นำค่าจ้างดังกล่าวไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2516 นั้นไม่ถูกต้อง เพราะขณะนั้นไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องนำเกณฑ์สิทธิ์มาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิ.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและคดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีของปี 2516 เป็นจำนวนเงิน 12,178.33 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยกค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ปัญหาในชั้นฎีกาคงมีเพียงภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีของปี2516 ซึ่งโจทก์นำสืบว่าโจทก์รับจ้างทำถนนเชื่อมระหว่างซอยของถนนสุขุมวิทกับรับจ้างปรับปรุงทางเท้าหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดปรากฏตามเอกสารหมาย จ. 6/2 แต่โจทก์ได้รับค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างในปี 2517 ดังปรากฏจากใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.9 จ. 10 จึงถือว่าไม่ใช่รายรับของปี 2516 โจทก์จึงนำรายรับดังกล่าวลงบัญชีในปี 2517 ปรากฏในบัญชีตามเอกสารหมาย จ. 11 หน้า 159, 160 รายรับจำนวนนี้โจทก์ได้เสียภาษีแล้วในปี 2517
จำเลยนำสืบว่าจากการตรวจสอบสมุดบัญชีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ใช้ระบบเกณฑ์สิทธิ์คือถือว่าในวันที่ส่งมอบสินค้าเป็นวันที่มีรายได้ถึงแม้จะยังไม่ได้รับชำระเงินส่วนรายจ่ายนั้นถือว่าวันที่ถึงกำหนดชำระตามสัญญาเป็นวันที่มีการจ่ายถึงแม้จะไม่มีการจ่ายเงินจริงและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมสรรพากรเปลี่ยนระบบการใช้เกณฑ์สิทธิมาเป็นระบบเกณฑ์เงินสด แต่ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลปี2516 ตามเอกสารหมาย ล. 5 โจทก์กลับใช้เกณฑ์เงินสดโดยมิได้หักรายได้จากหน่วยงาน 2 หน่วยตามเอกสารหมาย จ. 6/2 มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีกำไรสุทธิสำหรับเงินได้นิติบุคคลของโจทก์สำหรับปี 2516 เป็นเงิน 258,445.44 บาท และเป็นภาษีที่จะต้องชำระ51,687.08 บาทแต่โจทก์ชำระแล้ว 41,540.47 บาท โจทก์จึงต้องชำระเพิ่มรวมทั้งเงินเพิ่มภาษีเป็นจำนวน 12,178.33 บาท
พิเคราะห์แล้วได้ความว่าในปี พ.ศ.2516 โจทก์ได้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.4) แสดงกำไรสุทธิเป็นเงิน1,249.44 บาทคิดเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล 249.89 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ. 20 แต่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2516 โจทก์ยังมีรายได้ซึ่งได้รับจากหน่วยราชการอีก 2 รายการคือค่าจ้างปรับปรุงทางเท้าหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุดเป็นเงิน 69,430 บาท กับค่าจ้างทำถนนเชื่อมระหว่างซอยของถนนสุขุมวิท งวดที่ 2 เป็นเงิน 192,970บาท งานทั้งสองรายการนี้โจทก์ทำแล้วเสร็จในวันที่ 21 และวันที่ 24 พฤศจิกายน 2516 ดังปรากฏตามหนังสือสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย จ. 6/2 เงินค่าจ้างทั้งสองรายการรวมเป็นเงิน262,400 บาท นี้ โจทก์มีสิทธิจะได้รับในเดือนพฤศจิกายน 2516จึงต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2516 ด้วย เพราะระบบบัญชีของโจทก์ใช้เกณฑ์สิทธิ์มิใช่เกณฑ์เงินสดแต่โจทก์มิได้นำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งให้โจทก์ชำระเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมทั้งเงินเพิ่มภาษีเป็นเงิน12,178.33 บาท โจทก์อ้างว่าเงินค่าจ้างทั้งสองรายการโจทก์ได้รับจากหน่วยราชการเมื่อวันที่ 11 และ 21 มกราคม 2517 ปรากฏตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ. 9 จ. 10 จึงเป็นรายได้สำหรับปี 2517โจทก์จึงมิได้นำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี พ.ศ.2516
จากที่ได้ความดังกล่าวปัญหาวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะต้องนำรายได้ทั้งสองรายการเป็นเงิน 262,400 บาท ที่โจทก์ได้รับในเดือนมกราคม 2517 มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี 2516 หรือไม่ เห็นว่าสำหรับทางด้านรายจ่ายของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ.2516 นั้นไม่มีปัญหาคงมีปัญหาเฉพาะทางด้านรายได้ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ที่ใช้บังคับขณะเกิดคดีเรื่องนี้มิได้กำหนดวิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติทางบัญชีไว้แต่ประการใด มาตรา 65 เพิ่งจะมาแก้ไขเมื่อปีพ.ศ.2527 ว่าในการคำนวณรายได้และรายจ่ายตามมาตรา 65 วรรคหนึ่งให้ใช้เกณฑ์สิทธิ์ดังนั้นจึงแสดงอยู่ในตัวว่าขณะเกิดคดีนี้โจทก์ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องนำเกณฑ์สิทธิ์มาใช้ในการคำนวณทั้งรายได้และรายจ่าย นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับรายได้จำนวน 262,400 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับในเดือนมกราคม 2517 นั้นแม้โจทก์จะมิได้นำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2516 แต่โจทก์ก็ได้นำลงบัญชีเงินสดสำหรับปี 2517 ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.11 หน้า 159, 160 และโจทก์ได้เบิกความว่าได้นำรายได้ทั้งสองรายการดังกล่าวเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี พ.ศ.2517 แล้วซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบปฏิเสธเป็นอย่างอื่นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินได้นิติบุคคลสำหรับปี พ.ศ.2516 จึงไม่ชอบฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 600 บาท แทนโจทก์.

Share