คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4428/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันตามฟ้อง แม้จำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์เช่นเดิม เมื่อสัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ เป็นเอกสารต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 มีผลเท่ากับไม่มีสัญญาค้ำประกันเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๗๐,๖๒๕ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ และจำเลยที่ ๒ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินตามฟ้อง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ โดยฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้กับโจทก์ตามฟ้องปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร แล้ววินิจฉัยว่าสัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ไม่ครบดังกล่าวรับฟังเป็นพยานหลักฐานให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ำประกันหาได้ไม่ โจทก์ฎีกาว่าแม้สัญญาค้ำประกันจะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบ แต่จำเลยที่ ๑ ได้เบิกความว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันโดยไม่ต้องอาศัยเอกสารสัญญาค้ำประกัน จึงบังคับให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๒ มิได้ให้การรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องกับโจทก์ หากแต่จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ ดังนี้ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันตามฟ้อง ลำพังแต่จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ไม่มีผลให้โจทก์หมดหน้าที่ไม่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน หากแต่โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์อยู่เช่นเดิม เมื่อสัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์เป็นเอกสารที่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ มีผลเท่ากับไม่มีสัญญาค้ำประกันเป็นหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ ๒ หาได้ไม่ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ วรรคสอง
พิพากษายืน.

Share