คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4426/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 261 วรรคสาม ศาลจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อเมื่อจำเลยยื่นคำขอให้เห็นว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น คำร้องของจำเลยที่ว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลที่จะชนะคดีก็ดี โจทก์มีเจตนาทุจริตในการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดี เป็นการคัดค้านว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา หาใช่วิธีการกำหนดไปนั้นไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเรื่องตั๋วเงิน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว โดยขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนฉุกเฉินยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5472 และ 77992 ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้ชั่วคราว
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยจะนำที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 6717 ถึงเลขที่ 6722 และ น.ส. 3 ก. เลขที่ 6725, 6726 ตำบลกันจุ อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ของจำเลยที่ 2 รวม 8 แปลง ราคา 3,129,000 บาท มาเป็นหลักประกันแก่โจทก์แทน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 261 วรรคสาม ศาลจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาต่อเมื่อจำเลยยื่นคำขอให้เห็นว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอหรือมีคำสั่งอื่นใดตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ได้ แต่คำร้องของจำเลยที่ 2 ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน 2540 ที่ว่า ฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลที่จะชนะคดีก็ดี โจทก์มีเจตนาทุจริตในการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ก็ดี เป็นการคัดค้านว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่พอที่จะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา หาใช่วิธีการที่กำหนดไปนั้นไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่นไม่ จำเลยที่ 2 จะร้องคัดค้านเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องและฎีกาว่า ที่ดินหลักประกันของจำเลยที่ 2 มีราคามากกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง และหากจำเลยที่ 2 แพ้คดีก็สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้นั้น ในประเด็นนี้จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ที่ดินทั้ง 8 แปลง ดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ มีราคาประเมินของทางราชการถึง 3,192,000 บาท ราคาซื้อขายกันในท้องตลาดไร่ละ 200,000 บาท ส่วนโจทก์นำสืบคัดค้านว่า ขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ไว้ชั่วคราวนั้น จำเลยที่ 2 ยังมิได้เป็นเจ้าของที่ดินทั้ง 8 แปลง ที่จะนำมาเป็นหลักประกัน และที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างจากอำเภอบึงสามพันถึงประมาณ 16 กิโลเมตร ราคาซื้อขายกันจริงเพียงไร่ละประมาณ 40,000 บาท เท่านั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านยอมรับว่า เพิ่งได้รับโอนที่ดินทั้ง 8 แปลง มาหลังจากถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ทั้งโจทก์ยืนยันว่านายฮั่งลิ้มพี่ชายจำเลยที่ 2 เคยนำที่ดินดังกล่าวมาเสนอขอหักหนี้กับโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยินยอมเพราะเห็นว่าที่ดินอยู่ห่างไกลความเจริญ โจทก์ยังทราบว่านายฮั่งลิ้มได้นำที่ดินไปขอหักหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่น ก็ไม่มีใครยอมรับ และจำเลยที่ 2 เบิกความรับด้วยว่า บริเวณที่ดินดังกล่าวยังไม่มีน้ำประปา ดังนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เพิ่งจะรับโอนที่ดินมาน่าจะเพียงเพื่อนำมาเป็นหลักประกันให้มีการเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5472 และ 77992 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าที่ดินทั้ง 8 แปลง อยู่ห่างไกลความเจริญ ทั้งราคาที่แท้จริงจะเป็นดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบหรือไม่ ก็ไม่แน่ชัด เพราะหากราคาสูงดังจำเลยที่ 2 อ้าง จำเลยที่ 2 ก็ควรจะขายหรือโอนใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้แล้ว กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นตามคำร้องของจำเลยที่ 2 หรือมีคำสั่งอย่างอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share