แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มีอาชีพเป็นทนายความ ส่วนจำเลยเป็นภริยานักการเมืองโจทก์และจำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ในวันเกิดเหตุขณะที่โจทก์และภริยาเดินอยู่ที่หน้าหอประชุมอำเภอห้วยทับทันจำเลยชี้มือมาที่โจทก์แล้วพูดกับชาวบ้านที่เดินผ่านมาว่า ระวังทนายสกปรกจะเอาเรื่อง จากนั้นจำเลยก็เดินผ่านไป คำพูดของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความประกอบให้เห็นว่าโจทก์ซึ่งมีอาชีพทนายความสกปรกในเรื่องอะไร แม้จะเป็นคำเสียดสีโจทก์ว่าเป็นคนน่ารังเกียจ แต่ไม่ถึงขนาดทำให้ผู้ที่ได้รับฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนคดโกงขาดความน่าเชื่อถือหรือน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังโดยสภาพของถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นการหมิ่นประมาท แม้จำเลยจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ไม่ทำให้ความหมายของถ้อยคำเปลี่ยนแปลงไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2543 เวลากลางวันจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยใช้ถ้อยคำว่า “ระวังทนายสกปรกจะเอาเรื่อง” ซึ่งหมายความว่า โจทก์เป็นทนายความที่แสวงหาผลประโยชน์จากคดีหรือจากการทำงานด้านสังคมโดยมิชอบ ทั้งผิดจรรยาบรรณของทนายความ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางไต่สวนได้ความว่า โจทก์มีอาชีพเป็นทนายความ ส่วนจำเลยเป็นภริยานักการเมือง โจทก์และจำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดศรีสะเกษ ในวันเกิดเหตุขณะที่โจทก์และภริยาเดินอยู่ที่หน้าหอประชุมอำเภอห้วยทับทันจำเลยชี้มือมาที่โจทก์แล้วพูดกับชาวบ้านที่เดินผ่านมาว่า ระวังทนายสกปรกจะเอาเรื่อง จากนั้นจำเลยก็เดินผ่านไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพูดของจำเลยดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ โดยประการหนึ่งที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เห็นว่า คำพูดของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความประกอบให้เห็นว่าโจทก์ซึ่งมีอาชีพทนายความสกปรกในเรื่องอะไร แม้จะเป็นคำเสียดสีโจทก์ว่าเป็นคนน่ารังเกียจ แต่ไม่ถึงขนาดทำให้ผู้ที่ได้รับฟังเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนคดโกงขาดความน่าเชื่อถือหรือน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังโจทก์เองก็ยอมรับมาในคำฟ้องฎีกาว่า หากคนธรรมดาพูดว่าโจทก์เป็นทนายสกปรกก็คงจะไม่เป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งเท่ากับโจทก์เห็นด้วยว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดใส่ความโจทก์ในคดีนี้ โดยสภาพของถ้อยคำดังกล่าวไม่เป็นการหมิ่นประมาท แม้จำเลยจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ไม่ทำให้ความหมายของถ้อยคำเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน