แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาเช่าโรงมหรสพจากเจ้าของเพื่อจัดการแสดงมหรสพและการบันเทิงต่างๆ โดยมีข้อห้ามมิให้เช่าช่วงแต่โจทก์มาทำสัญญากับจำเลยยินยอมมอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการฉายภาพยนต์หรือจัดรายการบันเทิงอื่นในโรงมหรสพนี้ โดยจำเลยต้องให้เงินโจทก์เป็นเดือน สัญญานี้ใช้บังคับได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย ส่วนข้อที่ว่าเป็นการให้เช่าช่วงหรือไม่ นั้นเป็นเรื่องที่เจ้าของจะว่ากล่าวแก่โจทก์ จำเลยจะยกขึ้นปัดความรับผิดของตนไม่ได้
เมื่อสัญญามอบอำนาจนั้นมีข้อตกลงให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วยถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาแก่จำเลยได้มิใช่ต้องให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้ฟ้องเพราะองค์การนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย
ค่าโทรศัพท์นี้ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำเลยก็ต้องรับผิดในดอกเบี้ยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ถึงแม้ว่าโจทก์เองจะยังไม่ได้ชำระให้องค์การโทรศัพท์ก็ตาม
เมื่อจำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริงตามฟ้องแต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ค่าภาระติดพันต่างๆ แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้วก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน
คดีที่มีการสืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่าย และในฎีกาของจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่ ทั้งพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมาก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ จำเลยจะฎีกาคัดค้านการกำหนดหน้าที่นำสืบอีกย่อมฟังไม่ขึ้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าโรงมหรศพจากนางวัธนี สุจิตภารพิทยาแล้วทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยเป็นตัวแทนจัดฉายภาพยนตร์ฯ ที่โรงมหรศพนี้มีกำหนด 12 เดือน โดยจำเลยต้องหาเงินมาให้โจทก์เดือนละ 23,000 บาท และตกลงกันว่าจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าค่าน้ำประปา ฯลฯ ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาหลายประการโดยค้างชำระค่าไฟฟ้า ค่าเช่าโทรศัพท์ ฯลฯ โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยชำระค่าไฟฟ้า ค่าเช่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปาและค่าของชำรุดเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ความจริงโจทก์ให้จำเลยเช่าช่วงโรงมหรศพนั้น แต่โดยที่เจ้าของห้ามเช่าช่วง โจทก์จึงเลี่ยงเป็นว่ามอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ชำระเงินตอบแทนโจทก์จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดในเรื่องความชำรุดเสียหายหรือค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ทั้งระหว่างจำเลยเช่าอยู่จำเลยก็ได้ชำระไปแล้ว ไม่มีอะไรติดค้าง กับตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์ศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่ให้จำเลยนำสืบก่อน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าโทรศัพท์แก่โจทก์ 5,927.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ ข้อเรียกร้องอื่นให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
1. เรื่องหน้าที่นำสืบ ปรากฏว่าในวันชี้สองสถาน จำเลยยอมรับว่าได้ทำหนังสือสัญญากับโจทก์จริงดังฟ้อง แต่ค่าภารติดพันต่าง ๆ ตามข้อสัญญา จำเลยไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยชำระแล้ว ไม่มีอะไรติดค้าง เห็นว่าเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อสัญญาครบถ้วนแล้วก็เป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบก่อน อีกประการหนึ่งคดีนี้ก็ได้สืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วทั้งสองฝ่าย และในฎีกาจำเลยก็หาได้ขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานกันใหม่แต่ประการใดไม่คำพยานหลักฐานที่ได้สืบกันมา ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นตามนัยฎีกาที่ 1035/2496
2. การที่จำเลยตกลงทำสัญญารับมอบอำนาจจากโจทก์ให้จัดการแสดงมหรศพในสถานที่ที่โจทก์เช่ามาโดยเจ้าของไม่ให้เช่าช่วงนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยจะพึงบังคับกันได้ การให้เช่าช่วงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของเจ้าของจะว่ากล่าวแก่โจทก์ จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์จะยกเอาธุระของคนอื่นมาปัดความรับผิดของตนไม่ได้
3. โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่า ค่าเช่าโทรศัพท์ จำเลยจะต้องจ่ายและค่าเช่าโทรศัพท์นี้ตามสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับเจ้าของเดิมก็ตกเป็นหน้าที่ของโจทก์เป็นผู้ชำระ เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยดำเนินการแสดงมหรศพจึงตกลงกันให้จำเลยรับภาระค่าเช่าโทรศัพท์ด้วย ฉะนั้น ถ้าจำเลยยังไม่ได้ชำระ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกจากจำเลยได้ องค์การโทรศัพท์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลย จะให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยฟ้องเรียกค่าโทรศัพท์จากจำเลยอย่างไรได้
4. ค่าโทรศัพท์ 5,900 บาทเศษนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่โจทก์ ส่วนดอกเบี้ยนั้น แม้จะปรากฏว่าโจทก์เองก็ยังไม่ได้ชำระค่าเช่าโทรศัพท์แก่องค์การก็ตาม เมื่อฟังว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระแก่โจทก์ตามสัญญา ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
พิพากษายืน