คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่ากรณีพิพาทเป็นเรื่องเถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่า เป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้โจทก์จะมีคำขอให้ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทและขอให้สั่งเพิกถอนโฉนดของจำเลยเสียด้วย ก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นเพียงส่วนของคำขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ดังนั้น เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ก็ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีทั้ง 4 สำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยคนเดียวกัน ใจความว่า โจทก์ทั้งสี่ต่างเป็นเจ้าของที่ดินคนละ 1 แปลง ครอบครองติดต่อกันมากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยนำพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์สำนวนที่ 1 และที่ 2 รายละ 21 ตารางวาราคาสำนวนละ 500 บาท ที่ดินของโจทก์สำนวนที่ 3 ประมาณ 140 ตารางวา ราคา 1,500 บาท และที่ดินของโจทก์ สำนวนที่ 4 ประมาณ 80 ตารางวา ราคา 200 บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาททุกสำนวนเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และสั่งเพิกถอนโฉนดที่ 8499 ของจำเลย

จำเลยให้การทั้ง 4 สำนวนว่า จำเลยนำรังวัดเขตโฉนดที่ดินของจำเลย ไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินตามโฉนดของจำเลย การออกโฉนดของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจเพิกถอน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทุกสำนวนพิพากษาว่า ที่ดินทุกสำนวนเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยแก้ไขโฉนดที่ 8499 ของจำเลยให้ถูกต้อง

จำเลยอุทธรณ์ทั้ง 4 สำนวน

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น พิพากษายืน

จำเลยฎีกาทั้ง 4 สำนวน ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาว่า เป็นคดีฟ้องขับไล่ ไม่มีทุนทรัพย์จึงให้รับเป็นฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีทั้ง 4 สำนวนนี้เป็นกรณีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือจำเลย แม้คำขอของโจทก์ที่ว่า ขอให้ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทและขอให้สั่งเพิกถอนโฉนดที่ 8499 เสียด้วย ก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันเป็นเพียงส่วนของคำขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และคดีทั้ง 4 สำนวนนี้โจทก์สำนวนที่ 1 และสำนวนที่ 2 ได้ตีราคาทรัพย์ที่พิพาทมาสำนวนละ 500บาท โจทก์สำนวนที่ 3 ตีราคาทรัพย์ 1,500 บาท และโจทก์สำนวนที่ 4 ตีราคา 200 บาท ไม่ถึง 5,000 บาททุกสำนวน ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านราคาทรัพย์พิพาทเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ในชั้นฎีกา คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 หาได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นในตอนท้ายแห่งมาตราดังกล่าวแล้วเท่านั้น แต่คดีนี้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ก็มิได้มีความเห็นแย้ง ทั้งผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ก็มิได้รับรองไว้ หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรฎีกาได้แต่อย่างใด ทางที่จำเลยจะฎีกาได้จึงมีเพียงในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น แต่ปรากฏว่าจำเลยฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย

Share