คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทโดยแซงรถจักรยานและจักรยานยนต์ข้างหน้าเป็นเหตุให้ต้องวิ่งรถเลยกึ่งกลางถนนมาแล้วเกิดชนกันขึ้น ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของฟ้องว่าประมาท และเป็นต้นเหตุใกล้ชิดของการที่รถชนกันขึ้นอยู่ที่ขับรถกินทางไปทางขวาจนเกินทางของตน มิใช่การแซงรถ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้วาจำเลยขับรถกินทางไปทางขวา เกินกว่ากึ่งกลางถนนไปชนรถที่จำเลยอีกคนหนึ่งขับสวนมา แม้จะไม่มีการแซงรถก็ตรงกับฟ้องและความประสงค์ให้ลงโทษแล้ว ไม่ถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง และข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องของโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
รถยนต์บรรทุกของ ถ้าไม่รับจองบรรทุกก็เป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล ไม่ใช่รถยนต์สาธารณะ จำเลยมีใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลจึงขับรถดังกล่าวนี้ได้ ไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้บังอาจขับขี่รถยนต์โดยมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนยานพาหนะตามกฎหมายและได้ขับโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยขับรถเร็วฝ่าฝืนกฎหมายและกฎข้อบังคับ และต่างขับกินทางมาทางด้านขวามือของตน เมื่อแซงรถจักรยานและรถจักรยานยนต์ เป็นเหตุให้รถทั้งสองเฉี่ยวและชนกันขึ้น และมีผู้ได้รับอันตรายสาหัสถึงทุพพลภาพ และได้รับอันตรายแก่กายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙ (๔), ๖๖ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗, ๑๓ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มาตรา ๑๖, ๑๗, ๓๓ พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๔๗๙ กฎกระทรวงฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ ข้อ ๓
จำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๒ มีความผิดให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๙ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถอยู่ในทางของตน ไม่มีความผิด พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ เฉพาะความผิดฐานขับรถยนต์ไม่มีใบอนุญาตกระทงเดียว ปรับ ๑๐๐ บาท นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถกินทางเข้าไปในขอบทางด้านขวามือของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ มิได้ขับรถด้วยความเร็วสูงและไม่ลดความเร็วเมื่อรถจะสวนกัน ส่วนจำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทโดยแซงรถจักรยานและจักรยานยนต์ข้างหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้ต้องวิ่งรถเลยกึ่งกลางถนนมาทั้ง ๒ คันแล้วเกิดชนกันขึ้น เท่ากับว่าจำเลยไม่ได้ประมาทอย่างอื่น นอกจากเหตุประมาทเพราะแซงรถข้างหน้าจึงวิ่งผิดทางเป็นข้อสาระสำคัญของคดี เมื่อทั้งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบว่า มีรถจักรยานและจักรยานยนต์อยู่ข้างหน้ารถของจำเลย ทั้งไม่ฟังว่าจำเลยขับรถเร็วเกินชั่วโมงละ ๔๕ กิโลเมตรแล้ว ต้องถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง และข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่มีทางลงโทษจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่า ใจความสำคัญของฟ้องอยู่ที่ว่าจำเลยขับรถกินเกินทางของจำเลยเข้าไปทางขวามือที่เรียกกันว่าขับรถผิดทาง อันเป็นเหตุแห่งความผิด การแซงรถเป็นแต่เพียงเหตุที่ทำให้ต้องขับรถกินทางไปทางขวา ถ้าแซงรถแต่ไม่ถึงกับกินทางไปทางขวาจนเกินทางของตัว คือแซงแล้วรถก็ยังคงอยู่ในทางที่มา หากเกิดชนกันกับรถที่สวนทางก็เป็นเพราะรถที่สวนขับกินขวาเกินทางเข้ามา ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของฟ้องว่าประมาทและเป็นต้นเหตุใกล้ชิดของการที่รถชนกันกับรถที่สวนทางก็เป็นเพระารถที่สวนขับกินขวาเกินทางเข้ามา ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของฟ้องว่าประมาทและเป็นต้นเหตุใกล้ชิดของการที่รถชนกันขึ้นอยู่ที่ขับรถกินทางไปทางขวาจนเกินทางของตน มิใช่การแซงรถ เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถกินทางไปทางขวาเกินกว่ากึ่งกลางถนนไปชนรถจำเลยที่ ๑ ที่ขับสวนมา แม้จะไม่มีการแซงรถก็ตรงกับฟ้องและความประสงค์ให้ลงโทษแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ มีใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลจึงขับรถบรรทุกหินคันนั้นได้ ถ้าไม่ใช่รถบรรทุกรับจ้างอันเป็นรถยนต์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่ารถยนต์บรรทุกของถ้าไม่รับจ้างบรรทุกก็เป็นรถบรรทุกของส่วนบุคคล ไม่ใช่รถยนต์สาธารณะ จำเลยที่ ๒ มีใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ขับรถดังกล่าวนี้ได้ ไม่มีความผิด ในฟ้องโจทก์กล่าวแต่เพียงว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกหิน ไม่ได้บอกว่าเป็นรถยนต์รับจ้างบรรทุกหินหรือเป็นรถยนต์สาธารณะ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นรถสาธารณะ โดยไม่มีพยานหลักฐานจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงเกินหรือนอกเหนือกว่าพยานหลักฐานในฟ้องสำนวน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๒ คงมีความผิดฐานขับรถยนต์ โดยประมาทน่าหวาดเสียว อาจเกิดอันตรายแก่ประชาชน กินทางเลยกึ่งกลางถนนไปทางขวาเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับสวนทางมาเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส และรับอันตรายแก่กาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙ (๔), ๖๖ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐, ๓๙๐ แต่กระทงเดียว ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๐๐ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ เก้าเดือน คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ คงยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์

Share