แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อบริษัทได้รับใบสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศบริษัทก็ให้โจทก์ทำการปนข้าวหรือผสมข้าวให้ได้ชั้นของข้าวตามมาตรฐาน โดยคิดค่าจ้างได้มาดังกล่าวนี้ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้า
ตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2481 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 ในเรื่องภาษีการค้า มาตรา 78, 79 นั้น ผู้ที่จะต้องเสียภาษีการค้า คือ (1) จะต้องเป็นผู้ประกอบการค้า (2) จะต้องมีสถานการค้าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์มีหน้าที่หาซื้อข้าวมาให้บริษัทที่ตนทำงานแห่งเดียวจะไปเที่ยวซื้อข้าวให้ผู้อื่นไม่ได้ ต้องทำงานอย่างลูกจ้างทุกประการ ไม่ใช่เป็นการประกอบการค้าเป็นส่วนของตนเอง รายได้ของโจทก์บริษัทไม่ได้จ่ายให้เป็นเงินเดือน หากจ่ายให้ตามจำนวนงานการที่ทำให้บริษัทได้มากหรือน้อย โดยเป็นประเพณีที่ผู้ขายจ่ายให้ผู้ซื้อกระสอบละ 1.09 บาท แล้วบริษัทเป็นผู้รับเงินประเภทซื้อจากผู้ขายแล้ว โจทก์ไม่สถานการค้า ดังนี้ โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้ประกอบการค้าเป็นนายหน้าหรือตัวแทนบริษัทอันมีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนการค้าหรือเสียภาษีการค้าตามมาตรา 81 และ 79 แต่อย่างใดไม่
อย่างไรก็ดี เงินที่โจทก์ได้รับ + ก็เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) (2) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 15
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ปี พ.ศ.๒๔๙๗ โจทก์เป็นลูกจ้างประจำบริษัทมิตต์พานิช จำกัด เป็นพนักงานจัดซื้อข้าว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๘ – ๒๔๙๙ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำบริษัทไดอิจิบุซซันไกซา จำกัด มีหน้าที่จัดซื้อข้าวและเป็นผู้จัดการโกดังเก็บข้าว เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๐๒ เจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากรให้โจทก์นำเงินภาษีการค้าปี พ.ศ.๒๔๙๗ ถึง ๒๕๐๑ รวมทั้งสิ้น ๕๙,๐๗๑ บาท ไปชำระภายใน ๓๐ วัน โจทก์มิได้ประกอบการค้า ไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้า จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ และวินิจฉัยว่า รายรับของโจทก์ต้องเสียภาษีการค้าประเภท “นายหน้าและตัวแทน” ให้นำเงินภาษีรวม ๕๙,๐๗๑ ไปชำระภายใน ๓๐ วัน ขอศาลพิพากษาว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายและสั่งเพิกถอน
จำเลยทั้ง ๓ ให้การว่า โจทก์มิใช่ลูกจ้างประจำ ปี พ.ศ.๒๔๙๗ โจทก์ทำการเป็นผู้จัดธุรกิจติดต่อซื้อข้าวให้บริษัทมิตต์พานิช ปี พ.ศ.๒๔๙๘ ถึง ๒๕๐๑ เป็นผู้จัดธุรกิจติดต่อซื้อข้าวให้บริษัทไดอิจิบุซซันไกซา โจทก์ใช้สถานที่ของบริษัทมิตต์พานิช มีค่ารายปีไม่ต่ำกว่าปีละ ๓,๖๐๐ บาท และใช้สถานที่ของบริษัทไดอิจิบุซซันไกซา มีค่ารายปี ๖๐๐ บาท ถือได้ว่าเป็นสถานการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๘ มีหน้าที่ขอจดทะเบียนการค้า เสียภาษีการค้าตามมาตรา ๘๑, ๗๙ โจทก์ได้รับรายได้เป็นค่าบริการ ( + ) จากโรงสีผู้ขายข้าวในฐานะที่โจทก์ช่วยขายข้าวให้อัตรากระสอบละ ๑.๐๙ บาท ต้องด้วยลักษณะผู้ประกอบการค้าประเภทนายหน้าและตัวแทนตามมาตรา ๗๘ และบัญชีภาษีการค้า ข้อ ๑๙
ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างและได้รับเงินค่าจ้างจากบริษัททั้งสองเงินรายได้ของโจทก์จึงไม่ใช่เงินรายได้ประเภทนายหน้าและตัวแทนที่ต้องเสียภาษีการค้าพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เงินได้ของโจทก์ที่ได้รับเนื่องจากหาซื้อข้าวมาให้บริษัทอันเรียกว่า ค่าบริการ นั้น ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทนายหน้าและตัวแทน แต่เงินที่ได้มาจากการผสมข้าวให้บริษัทไดอิจิบุซซันไกซาที่โจทก์ประจำทำงานอยู่ไม่ต้องเสียภาษีการค้า พิพากษาแก้ว่า เงินรายได้ของโจทก์ที่ได้รับจากบริษัทไดอิจิบุซซันไกซาต้องเสียภาษีอย่างเงินได้ธรรมดาแต่เงินจำนวนอื่นนอกจากนี้ต้องเสียภาษีการค้าประเภทนายหน้าและตัวแทน ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ขัดกับคำพิพากษานี้
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับเงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับในการผสมข้าวให้บริษัทนั้น ได้ความว่า เมื่อบริษัทไดอิจิบุซซันไกซาได้รับใบสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศ บริษัทก็ให้โจทก์ทำการปนหรือผสมข้าวให้ได้ชั้นของข้าวตามมาตรฐานที่บริษัทในต่างประเทศสั่งมา โจทก์ได้ทำงานในหน้าที่โดยอาศัยแรงงานและความชำนาญของโจทก์ เมื่อผสมข้าวตามที่บริษัทต้องการเสร็จแล้ว บริษัทคิดค่าจ้างให้กระสอบละ ๑ บาท โจทก์ไม่ต้องไปติดต่ออาศัยผลของความสำเร็จของงานที่เกิดจากบุคคลภายนอกให้มาเป็นคู่สัญญากับบริษัทแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีทางที่จะเป็นนายหน้าหรือตัวแทนสำหรับงานประเภทนี้ เงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้า
สำหรับเงินค่าตอบแทนที่โจทก์ได้รับเนื่องจากโจทก์จัดหาซื้อข้าวให้บริษัทแล้วโจทก์ได้ค่าตอบแทนกระสอบละ ๑.๐๙ บาท นั้น เห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.๒๔๘๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.๒๔๙๖ ในเรื่องภาษีการค้า มาตรา ๗๘, ๗๙ ผู้ที่จะต้องเสียภาษีการค้านั้น คือ (๑) ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ประกอบการค้า (๒) ผู้นั้นจะต้องมีสถานการค้าด้วย แต่คดีนี้ได้ความว่า โจทก์มีหน้าที่หาซื้อข้าวให้บริษัทที่ตนทำงานแห่งเดียว จะไปเที่ยวซื้อข้าวให้ผู้อื่นไม่ได้ โจทก์ต้องทำงานอย่างลูกจ้างทุกประการ เว้นแต่รายได้ของโจทก์นั้นบริษัทไม่ได้จ่ายให้เป็นเงินเดือน หากจ่ายให้ตามจำนวนงานการที่ทำให้บริษัทได้มากหรือน้อยเป็นรายกระสอบ ๆ ละ ๑.๐๙ บาท กิจการที่โจทก์ไปหาซื้อข้าวเอามาอยู่ในบังคับบัญชาของหัวหน้าแผนกข้าวและผู้จัดการบริษัท จึงไม่ใช่เป็นการประกอบการค้าเป็นส่วนของตนเอง ส่วนโต๊ะเก้าอี้และเครื่องใช้ในการทำงานที่โจทก์ใช้ทำงานก็เป็นของบริษัท โจทก์ทำงานในห้องเดียวกับผู้จัดการและพนักงานอื่นของบริษัท โจทก์จึงไม่มีสถานที่ประกอบการค้าของตนเองโจทก์ก็ไม่มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๗๙ ส่วนเงินได้ ๑.๐๙ บาทที่ผู้ขายจ่ายให้นั้นโจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าเป็นประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมาช้านานแล้วว่า พ่อค้าผู้ขายข้าวสารจะต้องจ่ายให้ผู้ซื้อทุกกระสอบ + อนึ่งโจทก์ต้องทำงานอยู่ในกรอบบังคับบัญชาของหัวหน้าแผนกและผู้จัดการบริษัท จะไปทำงานที่อื่นไม่ได้ มิฉะนั้นจะต้องถูกออกจากงาน โจทก์ไม่มีอิสระจะไปทำงานอย่างเดียวกันนี้ให้ผู้ใดอีกโจทก์ไม่มีสถานการค้า จึงมิใช่เป็นผู้ประกอบการค้าเป็นนายหน้าหรือตัวแทนบริษัท อันมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนการค้า หรือเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๑ และ ๗๙ แต่อย่างใดไม่ ในส่วนค่าตอบแทนแรงงานที่โจทก์ได้รับ บริษัทไม่ได้คิดให้เป็นเงินเดือน แต่คิดเงินให้เป็นค่าตอบแทนตามจำนวนงานการที่โจทก์ทำสำเร็จนั้น หาใช่ว่าจะต้องเป็นนายหน้าหรือตัวแทนเสมอไปไม่ อย่างไรก็ดี เงินได้ที่โจทก์ได้รับเป็นค่า + ตอบแทนที่ ก็เป็นเงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๔๐(๑) (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.๒๔๙๖ มาตรา ๑๕ และโจทก์ได้เสียภาษีเงินได้ในเงินประเภทนี้แล้ว พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่ง