คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12414/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์จะเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ได้นั้น ในเบื้องต้นโจทก์ในคดีแรกและโจทก์ในคดีหลังต้องเป็นโจทก์คนเดียวกัน ซึ่งคำว่าโจทก์นี้ร่วมถึงบุคคลที่ไม่เคยยื่นฟ้องแต่อยู่ในฐานะเดียวกับโจทก์ เช่น เจ้าของรวมฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกอสังหาริมทรัพย์อันเป็นกรรมสิทธิ์รวม และคำว่าโจทก์รวมถึงคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ขอให้จำเลยใช้หรือคืนราคาทรัพย์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 เป็นต้น นอกจากนี้เรื่องที่นำมาฟ้องในคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกับคดีแรกด้วยกล่าวคือ มูลเหตุที่มาแห่งคดีต้องอาศัยหลักแหล่งแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน ในกรณีเรียกค่าเสียหายในเรื่องเดียวกัน โจทก์จะต้องฟ้องมาในคราวเดียวกันจะมาฟ้องเพิ่มในภายหลังเป็นอีกคดีหนึ่งไม่ได้แม้โจทก์จะสงวนสิทธิไว้ก็ตาม สำหรับคดีนี้แม้พนักงานอัยการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนต้นเงินแทนผู้เสียหายคืนให้โจทก์ในคดีอาญาไปแล้วก็ตาม แต่การที่พนักงานอัยการไม่ได้ขอเรียกดอกเบี้ยมาด้วยนั้นก็เนื่องมาจาก ป.วิ.อ. มาตรา 43 ให้พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องเรียกได้เฉพาะต้นเงินเท่านั้น สภาพไม่เปิดช่องให้เรียกดอกเบี้ยคดีแรกจึงยังไม่มีการฟ้องเรียกเงินดอกเบี้ยมาก่อน และไม่ใช่ค่าเสียหายที่พนักงานอัยการโจทก์สามารถฟ้องเรียกได้แล้วแต่ไม่เรียก หากแปลความว่าฟ้องของผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหลังซึ่งเรียกทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นฟ้องซ้อนทั้งหมด ย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ผลจะกลายเป็นว่าคดีใดพนักงานอัยการฟ้องคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหายไปแล้วจำเลยคนนั้นกลับไม่ต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยและก่อให้เกิดผลที่ไม่ควรจะเป็นระหว่างจำเลยด้วยกันรับผิดไม่เท่ากัน โดยผู้เสียหายมิได้กระทำผิดขั้นตอนกระบวนพิจารณาแต่ประการใด และซ้ำเติมผู้เสียหายซึ่งเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง กฎหมายย่อมไม่มีเจตนารมณ์เช่นนั้น ดังนั้น ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาคดีก่อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อนด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สำนักงานฌาปนกิจสงเคราะห์กองทัพบกหรือกองการฌาปนกิจเป็นหน่วยงานหนึ่งในกรมสวัสดิการทหารบกของโจทก์ มีหน้าที่เก็บเงินสงเคราะห์ที่เรียกเก็บจากสมาชิก ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างของกองทัพบกและครอบครัว ดูแลรักษาเงินสงเคราะห์และจ่ายเงินสงเคราะห์ให้แก่ผู้รับเงินสงเคราะห์หรือผู้จัดการศพเมื่อสมาชิกถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งหกเป็นผู้มีหน้าที่ ได้อาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ร่วมกันปลอมเอกสารราชการกองการฌาปนกิจ กรมสวัสดิการทหารบกเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพของสมาชิกฌาปนกิจเรื่องขอเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพสมาชิกรวม 334 ราย ด้วยการนำชื่อสมาชิกฌาปนกิจของกองทัพบกรวม 334 ราย ที่ถึงแก่ความตาย และทายาทได้รับเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพไปแล้วมาทำหลักฐานขึ้นใหม่ว่าสมาชิกฌาปนกิจของกองทัพบกทั้ง 334 ราย ดังกล่าว เพิ่งถึงแก่ความตายและยังไม่ได้รับเงินสงเคราะห์และระบุชื่อทายาทผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพสมาชิกทั้ง 334 รายขึ้นมาใหม่ ปลอมลายมือชื่อนายทะเบียน หัวหน้าการเงินกองการฌาปนกิจ สก.ทบ. หัวหน้าสมาชิก และผู้อำนวยการกองการฌาปนกิจ สก.ทบ. ในฐานะผู้ทำเอกสาร ผู้ตรวจสอบเอกสาร ผู้ผ่านเรื่องเพื่อขออนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพทั้ง 334 ราย โดยเสนอเรื่องปะปนรวมไปกับเอกสารการขออนุมัติเบิกจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพรายอื่นที่ถูกต้อง การกระทำของจำเลยทั้งหกดังกล่าว ทำให้ผู้มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพให้แก่สมาชิกฌาปนกิจกองทัพบกแทนโจทก์หลงเชื่อว่าเอกสารที่จำเลยทั้งหกร่วมกันปลอมทั้ง 334 ราย ดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงอนุมัติจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพรวม 334 ราย คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 35,207,587 บาท แล้วจำเลยทั้งหกร่วมกันปลอมลายมือชื่อทายาทของผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์ที่จำเลยทั้งหกกำหนดขึ้นมาใหม่ ลงลายมือชื่อรับเงินจำนวนดังกล่าวไปรวม 334 ครั้ง การที่จำเลยทั้งหกกระทำการโดยทุจริตดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งหกต้องร่วมกันคืนเงินจำนวน 35,207,587 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 15,942,743.77 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 51,150,330.77 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินคืนจำนวน 243,514.71 บาท (ที่ถูก 243,524.71 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 143,760.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดชดใช้เงินคืนจำนวน 51,150,330.92 บาท (ที่ถูก 51,150,330.77 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 35,159,475.80 บาท (ที่ถูก 35,207,587 บาท) นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 51,393,845.63 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มกราคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์กับให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2333-2336/2541 ในความผิดฐานฉ้อโกง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร และขอให้คืนเงินจำนวน 35,349,368 บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 ฉ้อโกงไปแก่ผู้เสียหาย (โจทก์) โดยไม่ได้ขอให้จำเลยดังกล่าวชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินนับแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ในระหว่างพิจารณาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ฐานละเมิดอันมีมูลจากการกระทำความผิดเดียวกันต่อศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 51,393,845.63 บาท และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 ร่วมกันใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 51,150,330.92 บาท แก่โจทก์ ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 35,340,378.50 บาท จำเลยที่ 4 คืนเงินจำนวน 943,115 บาท จำเลยที่ 5 คืนเงินจำนวน 35,196,618 บาท จำเลยที่ 6 คืนเงินจำนวน 220,000 บาท แก่ผู้เสียหาย (โจทก์คดีนี้) สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึง ที่ 6 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2333-2336/2541 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องไว้ จึงให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดตามฟ้อง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (1) ทั้งหมดหรือแค่เพียงบางส่วน กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2333-2336/2541 ของศาลอาญากรุงเทพใต้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 บัญญัติว่า เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว… (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น… ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า ฟ้องโจทก์จะเป็นฟ้องซ้อนได้นั้นในเบื้องต้นโจทก์ในคดีแรกและโจทก์ในคดีหลังต้องเป็นโจทก์คนเดียวกัน ซึ่งคำว่าโจทก์นี้ร่วมถึงบุคคลที่ไม่เคยยื่นฟ้องแต่อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับโจทก์ เช่น เจ้าของรวมฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกอสังหาริมทรัพย์อันเป็นกรรมสิทธิ์รวม และคำว่าโจทก์รวมถึงคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ขอให้จำเลยใช้หรือคืนราคาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 เป็นต้น หลักเกณฑ์อีกประการหนึ่งคือ เรื่องที่นำมาฟ้องในคดีหลังยังต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีแรกด้วยกล่าวคือ มูลเหตุที่มาแห่งคดีต้องอาศัยหลักแหล่งแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน ในกรณีเรียกค่าเสียหายในเรื่องเดียวกัน โจทก์จะต้องฟ้องเรียกมาในคราวเดียวกันจะมาฟ้องเพิ่มในภายหลังเป็นอีกคดีหนึ่งไม่ได้ถึงแม้โจทก์จะสงวนสิทธิไว้ก็ตามสำหรับคดีนี้เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าพนักงานอัยการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนต้นเงินแทนผู้เสียหายคืนให้โจทก์ในคดีอาญาไปแล้วก็ตาม แต่การที่พนักงานอัยการโจทก์ไม่ได้ขอเรียกดอกเบี้ยมาด้วยนั้น ก็เนื่องมาจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 บังคับให้พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องเรียกได้แค่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น สภาพไม่เปิดช่องให้เรียกดอกเบี้ย จึงเห็นได้โดยชัดแจ้งว่าในคดีแรกยังไม่มีการฟ้องเรียกเงินดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวนี้มาก่อน และไม่ใช่ค่าเสียหายที่พนักงานอัยการโจทก์สามารถฟ้องเรียกได้แล้วไม่เรียก หากแปลความว่าฟ้องของผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหลังซึ่งเรียกทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นฟ้องซ้อนทั้งหมด ย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ผลจะกลายเป็นว่าหากคดีใดพนักงานอัยการฟ้องคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหายไปแล้วจำเลยคนนั้นกลับไม่ต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยและก่อให้เกิดผลที่ไม่ควรจะเป็นระหว่างจำเลยด้วยกันรับผิดไม่เท่ากันโดยที่ผู้เสียหายมิได้กระทำผิดขั้นตอนกระบวนพิจารณาแต่ประการใด และซ้ำเติมผู้เสียหายซึ่งเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง กฎหมายย่อมไม่มีเจตนารมณ์เช่นนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2333-2336/2541 ของศาลอาญากรุงเทพใต้แต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อนด้วย ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2333-2336/2541 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ทั้งหมดนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ถึงที่ 6 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share