คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4382/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การเลิกจ้างอาจเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และอาจเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาความคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ก็ได้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งไล่โจทก์ออกจากงานโดยโจทก์ไม่มีความผิดการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เป็นการละเมิดและเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงเป็นคดีที่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า การเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 49 หาใช่เป็นเรื่องตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ แม้โจทก์จะมิได้ยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มาก่อนก็ตามโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมขอให้จ่ายเงินต่าง ๆ หลายประเภทแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม แต่โจทก์ประพฤติตนไม่เหมาะสม และกระทำผิดสัญญาจ้าง ทั้งโจทก์ละทิ้งงานเกินกำหนดเวลา 3 วัน จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบางรายการพร้อมดอกเบี้ย โจทก์จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ในประเด็นที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น ปัญหาข้อนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงเหตุเลิกจ้างว่าเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าล่วงเวลาจากจำเลยตามคดีหมายเลขดำที่ 4271/2530 ของศาลแรงงานกลาง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 โกรธได้ไล่โจทก์ออกจากงาน กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121 มิใช่เป็นเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยได้ยื่นคำร้องกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก่อนตามมาตรา 124 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคท้าย ซึ่งโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีแรกซึ่งยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2530 อันจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์ถึง 3 เดือนเศษ ขาดขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการแล้ว โจทก์ไม่จำต้องกลับไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าวอีก จึงมีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคท้าย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การเลิกจ้างของจำเลยนั้นอาจเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และอาจเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ก็ได้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งไล่โจทก์ออกจากงาน โดยโจทก์ไม่มีความผิด การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เป็นการละเมิดและเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และศาลแรงงานกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 4 ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ หากเป็นการเลิกจ้างแล้ว การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าการเลิกจ้างของจำเลยเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หาใช่เป็นเรื่องตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518ไม่ กรณีจึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ก่อนโดยในชั้นนี้ยังไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยรวมตลอดทั้งฟ้องแย้งด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยตามประเด็นที่กำหนดไว้ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share