แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานเดินหมายปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับปิดหมายนัดสืบพยานโจทก์ไว้ที่บ้านซึ่งมีชื่อจำเลยในทะเบียนบ้านตามคำสั่งศาล บ้านนั้นยังเป็นของสามีจำเลย และจำเลยยอมรับในอุทธรณ์ว่าบ้านดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลย ดังนี้เป็นการส่งหมายชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 74(2) และมาตรา 79 เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดและไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยชำระภาษีอากรเพิ่มและเงินเพิ่มต่าง ๆ แก่โจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 105,908.08บาท แก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ของต้นเงินอากรขาเข้า 33,220.92 บาทคิดเป็นเงินเดือนละ 332.21 บาท เป็นรายเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีนี้เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยแล้ว ศาลภาษีอากรกลางได้ให้พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกคดีแพ่งสามัญและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลย ณ บ้านเลขที่670/36 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้อง พนักงานเดินหมายกลับมารายงานว่าส่งไม่ได้ เพราะจำเลยย้ายไปนานแล้วโจทก์ได้แถลงขอสืบหาที่อยู่ของจำเลยต่อมาโจทก์ได้แสดงหลักฐานภูมิลำเนาของจำเลยตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนบ้านที่โจทก์ส่งศาลภาษีอากรกลางพร้อมกับขอให้ส่งหมายเรียกคดีแพ่งสามัญและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในทะเบียนบ้านดังกล่าว หากส่งไม่ได้โดยชอบขอให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แทน พนักงานเดินหมายศาลภาษีอากรกลางได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยใหม่ตามภูมิลำเนาในฟ้อง แต่ไม่มีผู้รับแทนโดยชอบ จึงได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ณ ที่นั้น การที่โจทก์แสดงภาพถ่ายทะเบียนบ้านซึ่งผู้ช่วยนายทะเบียนเขตพญาไท รับรองว่าถูกต้องโดยยังมีชื่อจำเลยปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านย่อมเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าบ้านดังกล่าวเป็นที่อยู่ของจำเลยที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 96/30-31 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตบางเขน กรุงเทพมหานครตั้งแต่ปี 2526 แต่จำเลยก็รับว่ามิได้แจ้งย้ายทะเบียนบ้านออกจากบ้านเลขที่ 670/36 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ไปเข้าอยู่ในบ้านดังกล่าวข้างต้นนอกจากนี้ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บ้านเลขที่ 670/36 นี้ ยังเป็นของนายสมเกียรติ นามวิถี สามีของจำเลย และในขณะที่พนักงานเดินหมายไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็มีคนอยู่ในบ้าน จำเลยเองก็ยอมรับในอุทธรณ์ของจำเลยว่า ภูมิลำเนาของจำเลยคือบ้านเลขที่ 670/36และบ้านเลขที่ 96/30-31 กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมิได้ใช้บ้านเรือนตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านเป็นที่อยู่ต่อไปแล้ว การที่จำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไปประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 45 ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนา ดังนั้นบ้านเลขที่ 670/36 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านย่อมเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลย การที่พนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาล จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) และมาตรา 79 แล้วเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดและไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ไม่มีเหตุที่จะขอให้พิจารณาใหม่ได้ คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน