แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ครองครองที่ดินและตึกพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ คดีนี้เป็นคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งถูกแยกพิจารณาคดีต่างหากจากคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ การพิจารณาและวินิจฉัยคดีตามฟ้องเดิมกับคดีตามฟ้องแย้งจะต้องแยกต่างหากจากกัน แม้คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่คดีตามฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฉะนั้นจะฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีตามฟ้องเดิมยังไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินโฉนดที่ 51692 และตึกเลขที่ 134/47 กับชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นของมารดา โจทก์จำเลย มารดาโจทก์จำเลยซื้อที่ดินและตึกดังกล่าวแล้วใส่ชื่อนายศุภชัยบุตรชายอีกคนหนึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน จำเลยอาศํยอยู่กับมารดาตั้งแต่ปี 2515 ก่อนมารดาถึงแก่ความตาย มารดาถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2515 และหลังจากนั้นจำเลยก็ยังอยู่และครอบครองที่ดินและตึกดังกล่าวในฐานะเป็นทายาทตลอดมา ต่อมาเมื่อประมาณปี 2516 นายศุภชัยเดินทางไปศึกษาต่อและประกอบอาชีพในต่างประเทศ จึงให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทคนอื่นด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย และไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลย โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันซึ่งมีพี่น้องทั้งหมด 7 คนจำเลยเป็นทายาทคนหนึ่งจึงมีสิทธิรับมรดกหนึ่งในเจ็ดส่วน จึงฟ้องแย้งเพื่อเรียกร้องสิทธิของจำเลยคืน ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และขอให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 51692 ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วม 1.66 ตารางวา และให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมในตึกเลขที่ 134/47 จำนวนหนึ่งในเจ็ดส่วน หากโจทก์ไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ให้ศาลมีคำสั่งถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดดังกล่าวด้วยศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นแยกส่งสำนวนในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รับฟ้องแย้งของจำเลย และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความที่ดินและตึกพิพาทเป็นของนายศุภชัยซึ่งได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์มิได้ถือกรรมสิทธิ์แทนผู้ใด จำเลยหามีสิทธิฟ้องโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกพิพาทแก่จำเลยหนึ่งในเจ็ดส่วนไม่ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 51692 และตึกเลขที่ 134/47เป็นจำนวนหนึ่งในเจ็ดส่วน ให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมตามส่วนของจำเลย หากโจทก์ไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า ฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความแล้ว เห็นว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินและตึกพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งร่วมกันกับโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินและตึกพิพาทซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายสุดท้ายว่า คดีตามฟ้องของโจทก์ซึ่งเป็นคดีหลักนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินและตึกพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวไม่ได้เป็นทรัพย์มรดกของมารดาโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เนื่องจากคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีรองจึงต้องฟังตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีหลักที่พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เห็นว่า การพิจารณาและวินิจฉัยคดีตามฟ้องเดิมกับคดีตามฟ้องแย้งจะต้องแยกต่างหากจากกัน แม้คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่คดีตามฟ้องเดิมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฉะนั้น จะให้ฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีตามฟ้องเดิมดังที่โจทก์อ้างยังไม่ได้
พิพากษายืน