แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2529 เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 สำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า ได้ทำหนังสือไปถึงโจทก์ลงวันที่ 2 เมษายน 2529 แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินที่ขอให้ระงับการโอนไว้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว นิติกรสังกัดกองนิติการของโจทก์ทำบันทึกเรื่องราวเสนอให้อธิบดีของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 จึงถือได้ว่า โจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลรายนี้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2530 ยังไม่พ้น 1 ปีนับแต่เวลาที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้น10 ปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ที่จำเลยที่ 1โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต ที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ก็มิได้แสดงว่าผลแห่งการฉ้อฉลของจำเลยทั้งสามมีผลร้ายแรงอย่างใด โจทก์มิได้แสดงให้เห็นว่าที่ดินตามฟ้องถูกอายัด โจทก์เพียงแต่ทวงถามหนี้สินธรรมดาเท่านั้น และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1และที่ 2 ให้เป็นผู้ซื้อและผู้ขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2จำเลยที่ 3 ดำเนินการให้โดยเต็มใจและไม่มีข้อฉ้อฉล และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดิน ที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยโอนที่ดินดังกล่าว
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ศาลจังหวัดศรีสะเกษได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับพวก ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน367,694 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่จำเลยที่ 1 และนายน้อยหรือสิมมาหรือบุตรไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินคือที่ดินอยู่ที่ตำบลเสม็ดเหนือ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพียงแปลงเดียวนอกนั้นไม่มีทรัพย์สินอื่นอีกโจทก์จึงทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า ว่าหากมีการดำเนินการใด ๆ ทางนิติกรรมอันเป็นผลให้เปลี่ยนแปลงสิทธิในทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวก็ขอให้ระงับไว้ก่อนแล้วแจ้งให้โจทก์ทราบด้วยต่อมาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2529 จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ไปพบจำเลยที่ 3 เพื่อขอให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จึงไปติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2529 เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวได้จัดการโอนให้ในวันเดียวกันนั้นเอง การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำไปทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า
“ประเด็นข้อต่อไปที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 แล้วนั้น ข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของนายสุรัตน์ เจริญจิตร ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 6 สำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราสาขาบางคล้า ระหว่าง พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2530 พยานโจทก์ตอบทนายจำเลยที่ 2 ที่ 3 ถามค้านว่า ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางคล้า ได้ทำหนังสือไปถึงโจทก์ ลงวันที่2 เมษายน 2529 แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินที่ขอให้ระงับการโอนไว้ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว และได้ความจากคำเบิกความของนายนิคม ขจรศรีเดช ซึ่งเป็นนิติกร 7 สังกัดกองนิติการของโจทก์ว่า พยานได้บันทึกเรื่องราวเสนอให้อธิบดีของโจทก์ทราบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 จึงถือได้ว่า โจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลรายนี้เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2529 และโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2530 ยังไม่พ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้นสิบปี นับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ”
พิพากษายืน