แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญากู้ยืมเงินมีข้อความว่าผู้ให้กู้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามแต่จะเห็นสมควรโดยเพียงแต่แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้นข้อความที่ระบุไว้ดังกล่าวแม้จะให้สิทธิโจทก์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็มีเงื่อนไขว่าต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบด้วยโจทก์จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบหาได้ไม่แต่ตามคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ในชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าโจทก์ขอขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ18และ19ต่อปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 100,000 บาท ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี ของต้นเงินที่เป็นหนี้โจทก์ และยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หลังจากจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญา และเมื่อครบกำหนดชำระหนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และขอผ่อนผันการชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองผิดสัญญาอีกจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 99,202.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2537 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2538 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มีนาคม 2538 จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 50,314.62 บาทขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 149,527.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 99,202.74 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน99,202.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ค้างชำระจนกว่าชำระเสร็จหากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6251 ตำบลวังกะพี้อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามสัญญากู้ยืมเงินกำหนดให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้าได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองเป็นอัตราร้อยละ 18 และร้อยละ 19 ได้ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น พิเคราะห์แล้ว ปรากฏตามสัญญากู้ยืมเงินมีข้อความว่า ผู้ให้กู้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้ว ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามแต่จะเห็นสมควร โดยเพียงแต่แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้นเห็นว่าข้อความที่ระบุไว้ดังกล่าว แม้จะให้สิทธิโจทก์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็มีเงื่อนไขว่าต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบด้วย โจทก์จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบหาได้ไม่ แต่ตามคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ในชั้นพิจารณา ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าโจทก์ขอขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ18 และ 19 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง
พิพากษายืน