แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรกแต่เป็นคำสั่งในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินมาชำระ ตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ที่บัญญัติว่าถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เมื่อปรากฏว่า จำเลยเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ มาวางศาล โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน ให้ไว้ต่อศาล จึงถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพราะกำลังมีการโต้แย้งกันอยู่และศาลมิได้มีคำสั่งหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2538 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องให้ไม่เกิน 11,250 บาท ตามที่โจทก์ขอจำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่าอุทธรณ์ ข้อ ก.และง. เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีข้อ ข. ไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีข้อ ค. เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนอุทธรณ์ ข้อ จ. ก็เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ จึงไม่รับอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลอุทธรณ์ภาค 2จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ยกคำร้อง
จำเลยฎีกาคำสั่ง
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาคำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก แต่เป็นคำสั่งในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา หรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่เป็นที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้จึงให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการชอบหรือไม่ และเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 บัญญัติว่า”ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง” เพราะฉะนั้น จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว กรณีนี้จำเลยเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาเพราะกำลังมีการโต้แย้งกันอยู่ศาลมิได้มีคำสั่งหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน