คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของ บ.พฤติการณ์ที่ บ.ได้อุปการะเลี้ยงดูกับให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์ ถือได้ว่า บ.ได้รับรองและแสดงออกว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ. โจทก์จึงเป็นทายาทโดยธรรม มีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ.
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยกล่าวว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ. มีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ. ศาลกะประเด็นไว้ว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ.หรือไม่ เมื่อพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นบุตรของ บ. ที่ บ. รับรองแล้ว ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่ บ.ได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
แม้โจทก์จะฟ้องคดีมรดกเกินกำหนดอายุความ 1 ปี แต่โจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่า ก่อนโจทก์จะฟ้องจำเลย จำเลยยังคงยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ เป็นแต่เกี่ยงว่ายังไม่พร้อมที่จะเอาชื่อโจทก์ใส่ในโฉนดที่ดินรายพิพาทเท่านั้น ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ไม่จำเป็นต้องทำบันทึกเป็นหลักฐานเพียงแต่โจทก์นำสืบให้เห็นพฤติการณ์ว่าจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ได้รับ ส่วนแบ่งมรดกรายนี้ ก็เพียงพอให้ถือว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ (อ้างฎีกาที่ 244/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่าโจทก์เป็นบุตรของนายบุญชู ศิริวงษ์ นายบุญชู ศิริวงษ์ และจำเลยทั้งห้าเป็นบุตรนางแปง ศิริวงษ์ เจ้ามรดก นางแปง ศิริวงษ์ ถึงแก่กรรมแล้ว มีทรัพย์มรดกคือ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกได้แก่โจทก์ผู้รับมรดกแทนที่นายบุญชู ศิริวงษ์ ๑ ใน ๖ ส่วน จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกรายนี้ โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนรับโอนมรดกร่วมกันและแบ่งกันตามส่วน จำเลยรับว่าจะไปจดทะเบียนแบ่งให้ แต่ของให้รอไปก่อนเพราะบางคนยังไม่พร้อม แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ บ่ายเบี่ยงแล้วจำเลยที่ ๑ ไปขอจดทะเบียนรับโอนมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยไม่ได้ลงชื่อโจทก์ร่วมด้วยขอบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าว ๑ ใน ๖ ส่วนให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นบุตรที่มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู ศิริวงษ์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การรับตามฟ้องของโจทก์ เว้นแต่บ้านเลขที่ ๑๑ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว เป็นของจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่มรดกของนางแปง ศิริวงษ์
ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกะประเด็นหน้าที่นำสืบ ๒ ประเด็น คือ
๑. โจทก์เป็นบุตรนายบุญชู ศิริวงษ์ หรือไม่
๒. อายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายบุญชูบิดาได้รับรองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายบุญชู มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู มรดกดังกล่าวจำเลยทุกคนมิได้ครอบครองแทนโจทก์ แต่จำเลยได้เคยตกลงยอมแบ่งมรดกให้โจทก์แม้โจทก์จะมิได้ครอบครองและฟ้องขอแบ่งหลังจากรู้ถึงความตายของนางแปงเจ้ามรดกเกิน ๑ ปีก็ดี จำเลยก็ไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นยันโจทก์ได้ เพราะถือว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๒ พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนแบ่งมรดกให้โจทก์ ๑ ใน ๖ ส่วน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชู และพฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบว่านายบุญชูได้ให้อุปการะเลี้ยงดู กับให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์นั้นถือได้ว่านายบุญชูได้รับรองและแสดงออกว่าโจทก์เป็นบุตรของตน โจทก์จึงเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกะประเด็นนำสืบไว้ว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูหรือไม่ ศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชูด้วยไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กะไว้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกโดยกล่าวว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชู เมื่อพิจารณาได้ความว่าโจทก์เป็นบุตรนายบุญชูดังกล่าว ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายบุญชูได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
แม้โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกำหนด ๑ ปีก็ดี แต่โจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่าก่อนโจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ยังคงยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้เป็นแต่เกี่ยงว่ายังไม่พร้อมที่จะเอาชื่อโจทก์ใส่ในโฉนดที่ดินรายพิพาท เท่านั้น เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสามดังกล่าวได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา ๑๙๒ ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ และที่ ๕ ฎีกาว่า การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความจะต้องแสดงออกโดยชัดแจ้งว่ายินดีแบ่งให้โดยมีกรมการอำเภอบันทึกถ้อยคำโจทก์ จำเลยไว้เป็นหลักฐานนั้นเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำบันทึกเป็นหลักฐาน เพียงแต่โจทก์สืบให้เห็นพฤติการณ์ว่าจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกรายนี้ ก็เพียงพอให้ถือว่าจำเลยได้ละเสียแล้วซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามนัยฎีกาที่ ๒๔๔/๒๕๑๐
พิพากษายืน

Share