แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากบุคคลภายนอกไว้ก่อนพิพากษา ก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งถ้าโจทก์ชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา โจทก์ก็จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 อีกชั้นหนึ่ง ได้ความว่าเมื่อศาลสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจาก อ.ตามที่โจทก์ขอ ได้ออกหมายอายัดชั่วคราวไปยัง อ.และแจ้งให้ส่งเงินตามหมายอายัดมายังศาลแล้ว ผู้ร้องชนะคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยคนเดียวกันนี้ในคดีอีกเรื่องหนึ่งและศาลได้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินจำเลยใช้หนี้ผู้ร้องเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินของจำเลยไปยัง อ.ด้วย แต่ อ.ได้ส่งเงินมาไว้ในคดีนี้ ต่อมาศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ และออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอ และเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ขอให้ศาลส่งเงินไปให้ เพื่อทำการยึดไว้ชำระหนี้แก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้ร้องขอและศาลได้ออกหมายบังคับคดีให้จัดการยึดอายัดทรัพย์ของจำเลย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับต่อ อ.ตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะพิพากษาและออกหมายบังคับคดีในคดีของโจทก์นี้ แม้ อ.ได้ส่งเงินดังกล่าวมาไว้ในคดีนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการอายัดเงินของจำเลยในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษาคดีนี้ในภายหลังจึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งผู้ร้องได้ และกรณีที่มีการอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษานั้น ผู้ร้องก็ไม่ต้องห้ามที่จะขออายัดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 672/2514) ผู้ร้องจึงมีสิทธิในเงินของจำเลยในคดีนี้
ย่อยาว
กรณีเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยเป็นเงิน ๗๔,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยศาลแพ่งมีคำสั่งอายัดเงินตามที่โจทก์ขอและออกหมายอายัดชั่วคราวลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๕ อายัดเงินประกันเงินสะสม และเงินบำเหน็จ จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาทของจำเลยไปยังผู้อำนวยการธนาคารออมสิน วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๕ ผู้อำนวยการธนาคารออมสินส่งเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับจำนวน ๗๔,๐๔๘.๙๙ บาท มาให้ศาลแพ่ง
วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๑๕ ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๗๔,๘๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยและได้ออกหมายบังคับเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามที่โจทก์ร้องขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐(๒) แล้ว
หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งมีหนังสือถึงศาลแพ่ง แจ้งว่าตามที่ศาลแพ่งมีหมายบังคับในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๖๙๒/๒๕๑๔ ระหว่างนายขจรศักดิ์ จิระสุวรรณพจน์ โจทก์ นายรวี โชติดิลก จำเลย ตั้งให้หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดการยึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ได้จัดการแล้วแต่ไม่ปรากฏว่าธนาคารออมสินได้ส่งเงินจำเลยมาไว้ในคดีนี้จึงขอให้ส่งเงินนั้นไปให้กองบังคับคดีแพ่ง เพื่อทำการยึดไว้ชำระหนี้โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๖๙๒/๒๕๑๕ ต่อไป ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าคดีนี้ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว วิธีการชั่วคราวของศาลจึงมีผลต่อไป จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐(๒) จึงไม่อาจส่งเงินมาให้ได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๖๙๒/๒๕๑๕ ของศาลแพ่งอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งสั่งไม่รับอุทธรณ์ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์
ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลข แดงที่ ๓๖๙๒/๒๕๑๕ ของศาลแพ่ง ซึ่งจำเลยในคดีนี้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องเป็นเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท ผู้ร้องมีสิทธิในวงเงินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดและยึดไว้นั้นแต่ผู้เดียว โจทก์ซึ่งได้ขออายัดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาเงินจำนวนดังกล่าวไว้ ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าให้รอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก่อน และในระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์นี้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับ โจทก์ได้ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีในคดีนี้ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๑๖ ตั้งหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ตามคำพิพากษาหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งมีหนังสือถึงศาลแพ่งลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๖ ขอให้ส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปให้เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์คดีนี้ แต่ศาลแพ่งให้รอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกัน ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง ศาลแพ่งจึงได้ดำเนินการพิจารณาคำร้องของผู้ร้องต่อไป
โจทก์คัดค้านว่าคำร้องของผู้ร้องไม่ใช่ขอเฉลี่ยหนี้ ไม่ใช่ขัดทรัพย์และไม่ใช่ขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าเงินจำนวนนี้ศาลได้ยึดไว้ชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๓๐ (น่าจะเป็นวันที่ ๑๐) พฤษภาคม ๒๕๑๕ และธนาคารออมสินได้ส่งเงินมาศาลตั้งแต่วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๑๖ (น่าจะเป็น พ.ศ.๒๕๑๕) ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและมีหมายบังคับคดีแล้วถือว่าโจทก์ได้ยึดเงินจำนวนนี้โดยถูกต้องแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเหนือเงินจำนวนนี้ดีกว่าผู้ร้องให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้แม้ศาลจะได้มีคำสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิจะได้รับจำนวน ๗๔,๐๔๘.๙๙ บาท ไว้ก่อนพิพากษาไปยังผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และธนาคารออมสินได้ส่งเงินจำนวนนี้มาให้ศาลแพ่งตามคำสั่งอายัดดังกล่าวก็ดี แต่การที่ศาลมีคำสั่งเช่นนั้น ก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาหาใช่เป็นส่วนหนึ่งของการ บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่ ซึ่งถ้าชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ก็จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษามานั้นดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐ อีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นคำสั่งอายัดเงินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีนี้ จึงมีผลเพียงเท่าที่กล่าวมาเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๖๙๒/๒๕๑๕ ได้ขอหมายบังคับคดีในคดีนั้น ทั้งศาลแพ่งได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ ตั้งหัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาและกองบังคับคดีแพ่งได้อายัดเงินของจำเลยที่มีสิทธิจะได้รับต่อธนาคารออมสินเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นเวลาก่อนศาลแพ่งพิพากษาและออกหมายบังคับคดีในคดีนี้ดังนั้นที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินของจำเลย ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิจะได้รับจำนวน ๗๔,๐๔๘.๙๙ บาทจากธนาคารออมสินในคดีนั้น แต่ธนาคารออมสินได้ส่งเงินของจำเลยจำนวนดังกล่าวมาไว้ในคดีนี้ ก็ต้องถึอว่าเป็นการอายัดเงินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นแล้วโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ภายหลัง จึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องได้ และเห็นว่ากรณีอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๕๔ ไม่ต้องห้ามมิให้ผู้ร้องอายัดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๗๒/๒๕๑๔ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิเหนือเงินจำนวนดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าให้ผู้ร้องมีสิทธิในเงินของจำเลยจำนวน ๗๔,๐๔๘.๙๙ บาท