แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีละเมิดให้โจทก์จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกัน มีหน้าที่ต้อง ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิง จำเลยจะแบ่งชำระให้โจทก์เป็นส่วน ๆ เฉพาะของจำเลยแต่ละคนหาได้ไม่เมื่อความรับผิดร่วมกันของ จำเลยทั้งสอง ต่อโจทก์มีอย่างนี้ ผู้ร้องกับ บ. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงตามคำพิพากษา เช่นเดียวกัน จะให้ผู้ร้องกับ บ. รับผิดใช้ค่าสินไหมให้โจทก์เฉพาะส่วน ของจำเลยที่ 1 โดยแบ่งคนละครึ่งกับจำเลยที่ 2 ไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติว่าด้วยส่วนแบ่งความรับผิดในเมื่อมีการเรียกร้องในระหว่างผู้ที่ต้องรับผิดร่วมกัน คือ จำเลยทั้งสองด้วยกันเองมิใช่บทบัญญัติให้จำเลยทั้งสองซึ่งต้องรับผิดร่วมกัน แบ่งแยกกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์รับไปตามส่วนของจำเลยแต่ละคน ดังนั้น ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จะอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคสามนี้มาอ้างว่าผู้ร้องมีความรับผิดเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 หาได้ไม่
ย่อยาว
มูลกรณีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างกันจำเลยที่ 2 ลูกจ้างร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในกรณีละเมิดให้โจทก์ ในชั้นอุทธรณ์ นายเกื้อและนายบัวกี่ได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ระหว่างทุเลาการบังคับ ต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้ยึดทรัพย์นายเกื้อและนายบัวกี่ ศาลออกกฎหมายบังคับคดีให้ยึด นายเกื้อยื่นคำร้องว่า หนี้รายนี้จำเลยจะต้องรับผิดเท่า ๆ กันขอให้ศาลแก้คำบังคับให้ผู้ร้องกับนายบัวกี่ใช้หนี้แทนจำเลยที่ 1 โดยแบ่งครึ่งกับจำเลยที่ 2 ส่วนละเท่า ๆ กัน และขอให้สั่งว่าจำเลยทั้งสองรับใช้หนี้ให้แก่โจทก์คนละครึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรค 3 และออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ทราบให้ปฏิบัติตามคำบังคับเสียก่อน เมื่อบังคับเอาจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้แล้ว จึงบังคับเอาจากผู้ร้องและนายบัวกี่
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงเป็นลูกหนี้ร่วมกัน มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงจำเลยจะแบ่งชำระให้โจทก์เป็นส่วน ๆ เฉพาะของจำเลยแต่ละคนหาได้ไม่เมื่อความรับผิดร่วมกันของจำเลยทั้งสองต่อโจทก์มีอย่างนี้ผู้ร้องกับนายบัวกี่ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เสร็จสิ้นเชิงตามคำพิพากษาเช่นเดียวกันจะให้ผู้ร้องกับนายบัวกี่รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 โดยแบ่งคนละครึ่งกับจำเลยที่ 2 ไม่ได้
ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรค 3 ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์คนละครึ่งนั้นศาลฎีกาเห็นว่าบทกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติว่าด้วยส่วนแบ่งความรับผิดในเมื่อมีการเรียกร้องในระหว่างผู้ที่ต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนคือจำเลยทั้งสองด้วยกันเองมิใช่บทบัญญัติให้จำเลยทั้งสองซึ่งต้องรับผิดร่วมกันแบ่งแยกกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์รับไปตามส่วนของจำเลยแต่ละคนดังฎีกาของผู้ร้อง ฉะนั้นผู้ร้องจะอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรค 3 นี้มาอ้างว่าผู้ร้องมีความรับผิดแต่เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว
พิพากษายืน