แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่พระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ.2533บังคับให้ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายในการขอรับประโยชน์ทดแทนตามมาตรา56,85และ87ก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ยื่นคำขอนำไปแสดงว่ามีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามขอหรือไม่ดังนั้นผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดยื่นคำขอก็ต้องระบุรายละเอียดต่างๆในคำขอให้ชัดแจ้งว่ามีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนอย่างไรจำนวนเงินเท่าไรทั้งมีสิทธินำบุคคลเอกสารและวัตถุอ้างเป็นพยานหลักฐานได้เมื่อสอบพยานหลักฐานแล้วเจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาสั่งคำขอและมีคำสั่งชี้ขาดว่าผู้ยื่นคำขอมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนอะไรบ้างหรือไม่คำสั่งดังกล่าวจึงต้องชี้ชัดและต้องอ้างเหตุผลประกอบไว้ด้วยเพื่อผู้ยื่นคำขอจะได้รับทราบและหากไม่พอใจจะได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ต่อไปซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ทำคำวินิจฉัยก็จะต้องอ้างเหตุผลประกอบให้ชัดแจ้งว่าผู้อุทธรณ์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนหรือไม่อย่างไรเพราะผู้อุทธรณ์อาจไม่พอใจคำวินิจฉัยจักได้ใช้สิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนเฉพาะที่ผู้อุทธรณ์ไม่พอใจต่อไปดังนั้นเมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์ทำคำวินิจฉัยโดยระบุเหตุที่ผู้อุทธรณ์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนไว้ชัดแจ้งแสดงว่าคณะกรรมการอุทธรณ์ประสงค์จะถือเอาเฉพาะเหตุนั้นเป็นข้ออ้างในการตัดสิทธิของผู้อุทธรณ์เท่านั้นหาได้ถือเอาเหตุอื่นมาเป็นข้ออ้างด้วยไม่เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่ากองประโยชน์ทดแทนที่1และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ยกคำขอของโจทก์โดยอ้างเฉพาะเหตุว่าการให้บริการทางการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯครอบคลุมเฉพาะการที่ผู้ประกันตนเข้ารับบริการสถานพยาบาลในราชอาณาจักรเท่านั้นโรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์ฯ มิได้เป็นสถานพยาบาลในราชอาณาจักรมิได้เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯและมิได้เป็นสถานพยาบาลฯและมิได้เป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายในโครงการประกันสังคมเท่านั้นมิได้อ้างเหตุว่าอาคารเจ็บป่วยของโจทก์มิใช่กรณีเจ็บป่วยจนถึงขนาดจำเป็นต้องได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าวจำเลยจะยกเหตุอื่นนอกเหนือจากที่อ้างในคำสั่งและคำวินิจฉัยขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลหาได้ไม่ พระราชบัญญัติสถานพยาบาลพ.ศ.2504มาตรา4บัญญัติความหมายของคำว่า”สถานพยาบาล”ไว้ว่าสถานที่รวมตลอดถึงยานพาหนะซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะหรือซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบกิจการอื่นด้วยการผ่าตัดฉีดยาฯลฯทั้งนี้โดยกระทำเป็นปกติธุระไม่ว่าจะได้รับประโยชน์ตอบแทนหรือไม่จึงเห็นได้ว่าสถานพยาบาลตามความหมายดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะว่าต้องเป็นสถานพยาบาลซึ่งจัดไว้เพื่อประกอบโรคศิลปะของประเทศไทยหรือต้องเป็นสถานพยาบาลที่มีอยู่ในราชอาณาจักรเท่านั้นดังนั้นแม้โรงพยาบาลเซ้นต์ปีเตอร์ฯจะเป็นโรงพยาบาลประกอบโรคศิลปะของรัฐนิวเจอร์ซี่ประเทศสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลดังกล่าวก็เป็นสถานพยาบาลฯด้วยทั้งประกาศสำนักงานประกันสังคมก็กำหนดให้คำว่า”สถานพยาบาล”หมายถึงสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯนั่นเองเมื่อปรากฎว่าขณะโจทก์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโจทก์เจ็บป่วยและจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินจึงนำส่งโรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์ฯ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯด้วย โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่ายาและค่าตรวจรักษาจำนวน20,947บาทจำเลยให้การว่าโรงพยาบาลที่โจทก์เข้ารับการรักษามิใช่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯและอาการป่วยของโจทก์มิใช่กรณีจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินคำให้การดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการยกเรื่องสถานพยาบาลและอาคารป่วยเจ็บของโจทก์เป็นข้อต่อสู้เท่านั้นมิได้ให้การเกี่ยวกับค่ายาและค่าตรวจรักษาแต่อย่างใดแม้จำเลยต่อสู้มาในคำให้การว่าคำสั่งกองประโยชน์ทดแทนที่1และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบแล้วขอให้ยกฟ้องก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนเงินดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของกองประโยชน์ทดแทนที่ 1ที่ 26518/2538 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 386/2539โดยให้จ่ายเงินจำนวน 20,947 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โรงพยาบาลที่โจทก์เข้ารับการรักษามิใช่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคมฯ และอาการป่วยของโจทก์มิใช่กรณีจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทอัศวโสภณ จำกัด เป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบครบเงื่อนเวลาที่จะก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน โดยกำหนดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นสถานพยาบาลให้โจทก์ไปรับบริการทางการแพทย์เมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2538 เวลาประมาณ 11 นาฬิกาขณะโจทก์ดูงานอยู่ที่สนามกีฬารัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกาโจทก์เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมและถูกนำส่งโรงพยาบาลเซ็นปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซี่ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้ ประเภทผู้ป่วยนอก แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าเลือดออกในกระเพาะอาหาร โจทก์จ่ายเงินเป็นค่ายาค่าตรวจรักษาพยาบาลเป็นเงิน 837.88 ดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย20,947 บาท เมื่อโจทก์เดินทางกลับประเทศไทยแล้วโจทก์ยื่นคำร้องขอรับประโยชน์ทดแทนต่อกองประโยชน์ทดแทนของจำเลย กองประโยชน์ทดแทนที่ 1 มีคำสั่งที่ 26518/2538 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเนื่องจากการให้บริการทางการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ครอบคลุมเฉพาะการที่ผู้ประกันตนเข้ารับบริการจากสถานพยาบาลในราชอาณาจักรเท่านั้นโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยที่386/2539 ว่าโรงพยาบาลดังกล่าวมิได้เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 และมิได้เป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายในโครงการประกันสังคม โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้ยกอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางเห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์เจ็บป่วยจนถึงขนาดจำเป็นต้องได้รับการบริการทางแพทย์อย่างฉุกเฉินหรือไม่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอรับประโยชน์ทดแทนต่อกองประโยชน์ทดแทนของจำเลยก็ดี โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ก็ดี กองประโยชน์ทดแทนที่ 1 และคณะกรรมการอุทธรณ์มิได้อ้างเหตุว่าโจทก์มิได้เจ็บป่วยจนถึงขนาดจำเป็นต้องได้รับบริการจากแพทย์อย่างฉุกเฉินคงปฏิเสธเพียงว่าโจทก์มิได้รับบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลที่เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 หรือเป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายในโครงการประกันสังคม ศาลแรงงานกลางจึงไม่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว และเห็นว่าโรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์เป็นโรงพยาบาลประกอบโรคศิลปะที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเป็นสถานพยาบาลตามความหมายของพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 โจทก์ได้รับความคุ้มครองย่อมมีสิทธิได้รบประโยชน์ทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ตามฟ้อง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของกองประโยชน์ทดแทนที่ 1ที่ 26518/2538 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 386/2539ให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์จำนวน 20,947 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยให้การชัดแจ้งว่าอาการเจ็บป่วยของโจทก์มิใช่กรณีเจ็บป่วยจนถึงขนาดจำเป็นต้องได้รับบริการจากแพทย์อย่างฉุกเฉิน ดังนั้นปัญหาดังกล่าวยังไม่ยุติ ศาลแรงงานกลางควรสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นกรณีฉุกเฉินหรือไม่เสียก่อน ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าปัญหาข้อนี้ยุติไปแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 56, 85 และมาตรา 87 บัญญัติให้ผู้ประกันต้นหรือบุคคลอื่นใดที่เห็นว่าตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนประสงค์จะขอรับประโยชน์ดังกล่าวต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อนจึงจะมีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงาน ขั้นตอนดังกล่าวคือผู้ประกันตนหรือบุคคลนั้นต้องยื่นคำรอรับประโยชน์ทดแทนต่อสำนักงานที่เลขาธิการกำหนดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทน กฎหมายบังคับให้เลขาธิการหรือผู้ซึ่งเลขาธิการมอบหมายพิจารณาสั่งการโดยเร็ว เมื่อทำคำสั่งแล้วผู้ยื่นคำขอไม่พอใจคำสั่งดังกล่าวย่อมมีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายใน30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์ทำคำวินิจฉัยแล้ว หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจจึงให้มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัย มิฉะนั้นให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด เช่นนี้เห็นได้ว่าการที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 บังคับให้ผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายในการขอรับประโยชน์ทดแทนก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ยื่นคำขอนำไปแสดงว่าผู้ยื่นคำขอมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามคำขอหรือไม่ ดังนั้นผู้ประกันตนหรือบุคคลอื่นใดยื่นคำขอก็ต้องระบุรายละเอียดต่าง ๆ ในคำขอให้ชัดแจ้งว่ามีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนอย่างไร จำนวนเงินเท่าไร ทั้งมีสิทธินำบุคคล เอกสารการวัตถุอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ เมื่อสอบพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำขอแล้วเจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาสั่งคำขอนั่นโดยทำเป็นคำสั่งชี้ขาดว่าผู้ยื่นคำขอมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนอะไรบ้างหรือไม่ จำนวนเท่าไรคำสั่งดังกล่าวจึงต้องชี้ชัดและต้องอ้างเหตุผลประกอบไว้ด้วยเพื่อผู้ยื่นคำขอจะได้ทราบและหากไม่พอใจจะได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ต่อไป การอุทธรณ์นั้นผู้อุทธรณ์คงคัดค้านคำสั่งเฉพาะข้อความหรือส่วนที่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น ข้อความตอนใดหรือส่วนใดที่คำสั่งระบุไว้เป็นประโยชน์ต่อผู้ยื่นคำขอแล้วผู้ยื่นคำขอย่อมพอใจและคงไม่อุทธรณ์คัดค้านเป็นแน่ในทำนองเดียวกันคณะกรรมการอุทธรณ์ทำคำวินิจฉัยก็ต้องอ้างเหตุผลประกอบให้ชัดแจ้งว่าผู้อุทธรณ์มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนหรือไม่อย่างไร เพราะผู้อุทธรณ์อาจไม่เห็นด้วยและไม่พอใจคำวินิจฉัยจักได้ใช้สิทธินำคดีไปสู่ศาลแรงงาน ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนเฉพาะที่ผู้อุทธรณ์ไม่พอใจต่อไปดังนั้น เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์ทำคำวินิจฉัยโดยระบุเหตุที่ผู้อุทธรณ์ไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนไว้ชัดแจ้ง แสดงว่าคณะกรรมการอุทธรณ์ประสงค์จะถือเอาเฉพาะเหตุนั้นเป็นข้ออ้างในการตัดสินของผู้อุทธรณ์เท่านั้น หาได้ถือเอาเหตุอื่นมาเป็นข้ออ้างด้วยไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังเป็นยุติว่ากองประโยชน์ทดแทนที่ 1 ยกคำขอของโจทก์โดยอ้างเหตุว่า การให้บริการทางการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ครอบคลุมเฉพาะการที่ผู้ประกันตนเข้ารับบริการสถานพยาบาลในราชอาณาจักรเท่านั้น โรงพยาบาลเซ็นปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์เป็นสถานพยาบาลที่มิได้อยู่ในราชอาณาจักร ส่วนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 386/2539 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2539 ยกอุทธรณ์ของโจทก์โดยอ้างเหตุว่าโรงพยาบาลดังกล่าวมิได้เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 อีกทั้งไม่ได้เป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายในโครงการประกันสังคม เห็นได้ว่าคำสั่งและคำวินิจฉัยถือเอาเฉพาะเหตุว่าโรงพยาบาลดังกล่าวมิได้เป็นสถานพยาบาลในราชอาณาจักร มิได้เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลพ.ศ. 2504 และมิได้เป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายในโครงการประกันสังคมเท่านั้น มิได้อ้างเหตุว่าอาการเจ็บป่วยของโจทก์มิใช่กรณีเจ็บป่วยจนถึงขนาดจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินแต่อย่างใด เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว จำเลยจะยกเหตุอื่นนอกเหนือจากที่อ้างในคำสั่งและคำวินิจฉัยขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลหาได้ไม่แม้จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอาการเจ็บป่วยของโจทก์ไว้ในคำให้การศาลก็ไม่วินิจฉัยให้ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้วอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อที่สองว่า โรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศประเทศสหรัฐอเมริกา มิใช่เป็นสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 นั้น พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “สถานพยาบาล” ไว้ว่า สถานที่รวมตลอดถึงยานพาหนะซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะหรือซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบกิจการอื่นด้วยการผ่าตัด ฉีดยา หรือฉีดสารใด ๆ หรือด้วยการใช้กรรมวิธีอื่นซึ่งเป็นกรรมวิธีของการประกอบโรคศิลปะ ทั้งนี้โดยกระทำเป็นปกติธุระไม่ว่าจะได้รับประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ เห็นได้ว่าสถานพยาบาลตามความหมายดังกล่าวมิได้จัดกัดเฉพาะว่าต้องเป็นสถานพยาบาล ซึ่งจัดไว้เพื่อการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลของประเทศไทย หรือต้องเป็นสถานพยาบาลที่มีอยู่ในราชอาณาจักรเท่านั้น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังว่าโรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์เป็นโรงพยาบาลประกอบโรคศิลปะที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐนิวเจอร์ซี่ประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นโรงพยาบาลดังกล่าวจึงเป็นสถานพยาบาลตามความหมายของพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504ด้วย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าสถานพยาบาลตามประกาศสำนักงานประกันสังคมเรื่อง กำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ มีเจตนารมณ์ให้เป็นสถานพยาบาลที่จดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยเท่านั้นไม่มีความประสงค์จะให้หมายถึงสถานพยาบาลในต่างประเทศด้วยนั้นเห็นว่า ประกาศสำนักงานประกันสังคมดังกล่าวเอกสารท้ายฟ้องคำให้การหมายเลข 1 ข้อ 3 คำว่า “สถานพยาบาล” หมายถึง สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล จากคำจำกัดความตามประกาศดังกล่าวเห็นได้ว่าสถานพยาบาลได้แก่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาลพ.ศ. 2504 นั่นเอง จำเลยมิได้กำหนดไว้ให้ชัดแจ้งว่าสถานพยาบาลต้องเป็นสถานพยาบาลเฉพาะในราชอาณาจักรเท่านั้น ปรากฎว่าขณะโจทก์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโจทก์เจ็บป่วยและจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน จึงถูกนำส่งโรงพยาบาลเซ็นต์ปีเตอร์เมดิคัลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533ด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า จำเลยได้ปฏิเสธการจ่ายเงินค่ายาและค่าตรวจรักษาจำนวน 20,947 บาท ที่โจทก์ฟ้อง ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนเงินดังกล่าวแล้ว ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้โต้แย้งไว้และพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินตามฟ้องแก่โจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์เป็นค่ายาและค่าตรวจรักษาจำนวน 20,947 บาทเนื่องจากโจทก์ป่วยต้องเข้ารับการรักษาอย่างฉุกเฉิน จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533เนื่องจากโรงพยาบาลที่โจทก์เข้ารับการรักษามิใช่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2504 และอาการป่วยของโจทก์มิใช่กรณีจำเป็นต้องได้รับบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน เห็นได้ว่าคำให้การดังกล่าวจำเลยนำเรื่องสถานพยาบาลและอาการป่วยเจ็บของโจทก์เป็นข้อต่อสู้เท่านั้น จำเลยมิได้ให้การเกี่ยวกับค่ายาและค่าตรวจรักษาจำนวน 20,947 บาท แต่อย่างใดแม้จำเลยต่อสู้มาในคำให้การว่าคำสั่งกองประโยชน์ทดแทนที่ 1 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนเงินดังกล่าวแต่อย่างใด อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน