แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เงินของกลางจำนวน 6,000 บาท ที่โจทก์ขอให้ริบ โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนถูกจับกุมก่อนหน้านี้ เงินจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่วัตถุซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่ได้กระทำในคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 32, 33 (2)
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 10,000 เม็ด และระบุคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 322.86 กรัม ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายระบุจำนวน 2,000 เม็ด แต่ไม่ระบุสารบริสุทธิ์ จึงต้องด้วย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จะคำนวณเทียบเคียงว่าเมทแอมเฟตามีน 10,000 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 322.86 กรัม จำนวน 2,000 เม็ด จึงคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ไม่น้อยกว่า 64 กรัม เพื่อเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคสอง หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสอง (เดิม) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 30 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 15 ปี รวมจำคุก 40 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลดโทษให้จำเลยทั้งสองข้อหา จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า จำนวนเมทแอมเฟตามีนที่ได้นั้นเป็นจำนวนเดียวกันเป็นความผิดกรรมเดียว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นสองกรรมเป็นการไม่ถูกต้องนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 2,000 เม็ด เมื่อคำนวณตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 64 กรัม นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใด กรณีจึงต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 15 ปี แตกต่างจากมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิมซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่าจึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
อนึ่ง เงินจำนวน 6,000 บาท ของกลางที่โจทก์ขอให้ริบ โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนถูกจับกุม ก่อนหน้านี้ของกลางดังกล่าวมิใช่วัตถุซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิดซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่ได้กระทำในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 (2) ศาลจึงไม่ริบ”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) และ 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) สำหรับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้จำคุก 15 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 7 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว รวมจำคุก 32 ปี 6 เดือน และไม่ริบเงินของกลาง นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1