คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4349/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ร. ดำเนินคดีแทน แต่จำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้ง รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นแล้วว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อผู้มีอำนาจของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่ลงลายมือชื่อในคำสั่งเกี่ยวกับการมอบอำนาจ เป็นผู้ที่มีอำนาจของโจทก์และเป็นลายมือชื่อที่แท้จริง คดีนี้โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบเพียงปากเดียว โดยไม่ได้เบิกความถึงการมอบอำนาจให้ดำเนินคดี และไม่ได้ยืนยันว่า ลายมือชื่อในคำสั่งเกี่ยวกับการมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อที่แท้จริง ถือว่าโจทก์นำสืบประเด็นนี้ไม่สมตามคำฟ้อง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ร. ดำเนินคดีแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 238,066.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 137,303 59 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนด ค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมสังกัดกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 และจ่ายบัตรภาษีให้แก่ผู้ส่งออกที่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าภาษีอากรหรือผู้รับโอนสิทธิตามพระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ.2524 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด เดิมชื่อบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล คอสเมดิคส์ จำกัด เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2539 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าส่งออกต่อโจทก์ 2 ชุดคำขอพร้อมแนบใบขนสินค้าขาออกรวม 6 ฉบับประกอบ และขอโอนบัตรภาษีให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอรับโอนสินธิตามบัตรภาษีดังกล่าวและมีข้อตกลงว่า หากเกิดการทุจริตในการขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากรและเกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่ากรณีใดจำเลยที่ 2 ยินยอมรับผิดต่อโจทก์ทุกประการโดยไม่มีข้อโต้แย้งทั้งสิ้น โจทก์จึงจ่ายเงินชดเชยค่าภาษีอากรเป็นบัตรภาษีในนามของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้นำบัตรภาษีดังกล่าวไปใช้ชำระค่าภาษีอากรแล้ว 137,303.59 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายรณรงค์ฟ้องคดีแทนหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าคัดค้านคำสั่งที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจของโจทก์ฉบับใด และจำเลยที่ 2 ไม่ได้คัดค้านการนำเอกสารดังกล่าวมาสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับการมีอยู่และความแท้จริงของต้นฉบับเอกสารดังกล่าว เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ให้การคัดค้านคำสั่งที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจฉบับใดไว้โดยเฉพาะ แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้ให้การว่าลายมือชื่อผู้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจฉบับที่โจทก์อ้างไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม และยังให้การด้วยว่าหนังสือการมอบอำนาจที่โจทก์แนบไว้ท้ายใบแต่งทนายความเป็นเอกสารปลอม ซึ่งเอกสารที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจซึ่งประกอบไปด้วยคำสั่งของโจทก์ 4 ฉบับ ที่โจทก์แนบไว้ท้ายใบแต่งทนายความก็เป็นเอกสารชุดเดียวกันกับเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 และจำเลยที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ในของประเด็นนี้ด้วยว่า นายรณรงค์ ไม่ใช่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ คำให้การของจำเลยที่ 2 ในประเด็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยอ้างเหตุว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอมเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้คัดค้านการนำเอกสารดังกล่าวมาสืบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับการมีอยู่และความแท้จริงของต้นฉบับเอกสารดังกล่าวแล้ว เห็นว่า เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายรณรงค์ดำเนินคดีแทน แต่จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธเป็นประเด็นข้อต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายรณรงค์เพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์อ้างไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อในคำสั่งของโจทก์ที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจทั้ง 4 ฉบับ เป็นผู้ที่มีอำนาจของโจทก์และเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของบุคคลนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ถึงความมีอยู่ของเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แต่ให้การต่อสู้ถึงความถูกต้องของเอกสารดังกล่าวว่าเป็นเอกสารปลอมเพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจของโจทก์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์ต้องนำสืบถึงความถูกต้องของลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจของโจทก์ในเอกสารดังกล่าว คดีนี้โจทก์มีเพียงนายชัยเดชเป็นพยานบุคคลเพียงปากเดียวมานำสืบโดยไม่ได้เบิกความถึงการมอบอำนาจให้ดำเนินคดี และไม่ได้ยืนยันว่าลายมือชื่อในคำสั่งของโจทก์ที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจของโจทก์ทั้ง 4 ฉบับ เป็นผู้ที่มีอำนาจของโจทก์และเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของบุคคลนั้น ถือว่าโจทก์นำสืบประเด็นนี้ไม่สมตามคำฟ้อง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่ามีการมอบอำนาจให้นายรณรงค์ดำเนินคดีแทนโจทก์ กรณีไม่จำต้องพิจารณาพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 และไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

Share