คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4343/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)นั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1373ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีรายชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินมาจากถ. เจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 6 หน้า 108 โดยซื้อมาจากนายสมชัย จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากนายสมชัยทำไร่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 4,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนายถมชำระราคาแล้วแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนขาย เพราะติดจำนองนายถมส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ซื้อมาจนถึงปัจจุบันโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนายสมชัยโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เล่ม 6 หน้า 108 หมู่ที่ 1 ตำบลหนองรี อำเภอบ่อพลอยจังหวัดกาญจนบุรี ของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ4,200 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่โจทก์มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายถม ศรีทอง เจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ แต่ในทางนำสืบของจำเลยได้ความว่าการซื้อขายดังกล่าวจำเลยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือหลักฐานการชำระราคาที่ดินพิพาทมาแสดงแต่ประการใดที่อ้างว่านายถมได้มอบหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความและมอบเรื่องราวการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ให้ไว้ในการซื้อขายที่ดินก็เป็นเรื่องที่นายถมขายที่ดินพิพาทให้แก่นายทองแดง ศรีทอง ไม่เกี่ยวกับจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยมีพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประจำหมู่บ้านตลอดจนผู้อยู่ใกล้เคียงที่ดินพิพาทและผู้เคยเช่าที่ดินพิพาทมานำสืบสนับสนุนควรแก่การรับฟังนั้น เห็นว่า พยานบุคคลของจำเลยดังกล่าวเพียงแต่เห็นจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเท่านั้น มิได้รู้เห็นขณะที่จำเลยอ้างว่ามีการตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทแต่ประการใด คำเบิกความของพยานบุคคลจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยในการรับฟัง นอกจากนี้ หากจำเลยได้ชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจริง เมื่อพ้นกำหนดห้ามโอนจำเลยก็น่าจะเรียกร้องให้นายถมไปดำเนินการจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยแต่ก็ไม่ปรากฎ กลับได้ความว่านายถมนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่นางซักอันเป็นภาระติดพันกับที่ดินซึ่งจำเลยก็มิได้ทักท้วง ที่อ้างว่านายถมไปทำกินที่อื่นจึงไม่สามารถติดตามได้และไม่ทราบว่านายถมนำที่ดินไปจำนองก็เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่อาจรับฟัง ทั้งนายถมยืนยันว่าไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่ได้อนุญาตให้จำเลยเข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยด้วยความเอื้อเฟื้อเช่นเดียวกับน้องภรรยานายถมอีก 3 คนซึ่งนายถมอนุญาตให้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเช่นกัน ที่จำเลยอ้างว่าได้ให้นายบุญสมเช่าที่ดินพิพาทปลูกอ้อยจำนวน 7 ไร่ ก็ไม่สมเหตุผล เพราะนายบุญสมเป็นผู้ใหญ่บ้านมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และมีที่ดินเป็นของตนเองปลูกอ้อย เนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเช่าที่ดินจากจำเลยในเนื้อที่เพียง 7 ไร่ เพื่อปลูกอ้อยดังกล่าวส่วนฝ่ายโจทก์นอกจากได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ยังมีพยานบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและเจ้าหน้าที่ที่ดินมาเบิกความประกอบเอกสารมีรายละเอียดความเป็นมาของที่ดินพิพาทสมเหตุผล ทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือในการรับฟัง ด้วยเหตุนี้ พยานหลักฐานจำเลยจึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตโจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท ก็โดยอาศัยสิทธิอาศัยและสิทธิการเช่าจากเจ้าของที่ดินคนก่อน ทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครอง เมื่อที่ดินพิพาทตกมาเป็นของโจทก์และโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จำเลยก็ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share