คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434-435/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้จัดการของนิติบุคคลกระทำการซึ่งมีมูลเป็นความผิดทางอาญาแม้จะกระทำในกิจการของบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้จัดการนั้นก็อาจถูกควบคุมในระหว่างสอบสวนได้ในเมื่อตกเป็นผู้ต้องหา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมและความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200, 310, 83, 84

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าจำเลยปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยสั่งมา หามีเจตนากลั่นแกล้งไม่ คดีโจทก์ไม่มีมูล

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อนิติบุคคลกระทำผิด พนักงานสอบสวนจะกักขังควบคุมตัวผู้จัดการไม่ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์รับบริการส่งคนไทยอิสลามไปเมกกะโดยเรียกเอาค่าบริการสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่เมืองเมกกะ แต่โจทก์ไม่ส่งเงินค่าใช้จ่ายไปให้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นการกระทำของโจทก์โดยตรงถูกต้องแล้ว แต่โจทก์จะกระทำเพื่อใครนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเมื่อการกระทำของโจทก์มีมูลเป็นความผิดอาญา จำเลยก็มีอำนาจสอบสวนโจทก์ได้ จำเลยได้สอบสวนโจทก์เป็นผู้ต้องหา มิใช่กล่าวหานิติบุคคลย่อมมีอำนาจที่จะควบคุมโจทก์ได้ ในเมื่อระหว่างสอบสวนปรากฏว่าเป็นผู้กระทำความผิด การกระทำของโจทก์ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ซึ่งมิใช่เป็นความผิดที่ยอมความกันได้และมีอายุความถึง 10 ปี เหตุเพิ่งเกิดไม่ถึงปีเป็นการชี้เรื่องอายุความอยู่ในตัวแล้ว

พิพากษายืน

Share