คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4338/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งห้าในฐานะทายาทฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกและปกครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น ขอแบ่งทรัพย์มรดก แม้จะฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองก็จะหมดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์ที่ 2 เคยฟ้องขอแบ่งส่วนทำบุญทำทานตามที่เจ้ามรดกสั่งไว้ในพินัยกรรม โจทก์ที่ 3 เคยฟ้องขอแบ่งมรดก โจทก์ที่ 4 เคยร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนจำเลยทั้งสองจากการเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ที่ 5 ก็เคยฟ้องจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกเคยฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 5 ออกจากที่ดินกองมรดก แต่ไม่ปรากฏว่าได้พิพาทกันในประเด็นว่าพินัยกรรมของเจ้ามรดกเป็นโมฆะหรือไม่ ดังนั้น ที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่าพินัยกรรมของเจ้ามรดกเป็นโมฆะ ทรัพย์มรดกตกได้แก่ทายาทโดยธรรมจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
พินัยกรรมที่กำหนดยกทรัพย์มรดำให้แก่ผู้มีชื่อถือหุ้นในบริษัท โดยแต่ละคนมีส่วนเฉลี่ยตามจำนวนหุ้น ซึ่งเจ้ามรดกก็เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าวด้วยนั้น เป็นพินัยกรรมที่กำหนดตัวผู้รับพินัยกรรมโดยทราบตัวได้แน่นอนแล้วตามรายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทที่มีอยู่ในขณะผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย พินัยกรรมส่วนนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 มีผลบังคับได้ ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ส่วนที่ปรากฏว่าเจ้ามรดกก็เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทด้วย จึงเท่ากับเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ตนเองนั้น ย่อมเป็นข้อกำหนดที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และมาตรา 1646 ไม่มีผลบังคับทรัพย์มรดกเฉพาะส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม
พินัยกรรมซึ่งมีข้อความให้ผู้จัดการมรดกและผู้ถือหุ้นซึ่งได้รับทรัพย์มรดกมาตามพินัยกรรมโอนทรัพย์มรดกให้เป็นการเพิ่มทุนของบริษัทตามอัตราส่วนของหุ้นที่แต่ละคนมีอยู่นั้น เป็นเงื่อนไขที่ให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมนั้นแก่บุคคลอื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1707 จึงไม่มีผล ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีผู้รับพินัยกรรมไม่จำต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น
พินัยกรรมที่กำหนดให้โอนหุ้นในส่วนของเจ้ามรดกใส่ชื่อผู้จัดการมรดกร่วมกัน เพื่อรับเงินปันผลจากบริษัท เพื่อทำบุญทำทาน และเกื้อกูลบุตรหลานที่ไม่มีชื่อถือหุ้นในบริษัทนั้น ไม่ใช่เรื่องตั้งผู้ปกครองทรัพย์และไม่ใช่เรื่องก่อตั้งทรัสต์ เพราะผู้รับพินัยกรรมไม่ใช่ผู้เยาว์หรือบุคคลไร้ความสามารถ และไม่มีการยกทรัพย์ให้แก่ผู้จัดการมรดกแต่อย่างใด แต่เป็นข้อกำหนดที่ทรัพย์สินซึ่งยกให้โดยพินัยกรรมระบุไว้ไม่ชัดแจ้งจนไม่อาจที่จะทราบแน่นอนได้ และเป็นการให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดทรัพย์มรดกให้แก่ผู้รับพินัยกรรมมากน้อยเท่าใดตามแต่ใจของผู้จัดการมรดก ข้อกำหนดนี้จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าเป็นบุตรของหลวงโทณะวนิกพันธ์ ซึ่งเกิดจากต่างมารดากัน จึงเป็นทายาทโดยธรรมของหลวงโทณะวนิกพันธ์ และหลวงโทณะวนิกพันธ์ยังมีบุตรกับภริยาอื่นอีก ๖ คน จึงรวมมีทายาทโดยธรรม ๑๑ คน หลวงโทณะวนิกพันธ์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๐๗ และมีทรัพย์มรดกรวม ๖๗,๘๐๗,๙๒๐ บาท ซึ่งได้ทำพินัยกรรมไว้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๐๗ ยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้มีชื่อถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด ซึ่งรวมทั้งตัวหลวงโทณะวนิกพันธ์ด้วย อันเป็นการยกทรัพย์มรดกให้แก่ตนเอง และกำหนดให้ผู้จัดการมรดกโอนมรดกเป็นการเพิ่มทุนแก่บริษัทสากล จำกัด แสดงว่าไม่ได้ยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ใด และให้ผู้จัดการมรดกนำเงินปันผลส่วนของหลวงโทณะวนิกพันธ์เองไปทำบุญทำทานและเกื้อกูลบุตรหลาน ข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นโมฆะ ทรัพย์มรดกทั้งหมดจึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมทั้งสิบเอ็ดคน ทรัพย์มรดกได้ถูกผู้จัดการมรดกจำหน่ายไปบางส่วนแล้ว มรดกเฉพาะส่วนที่จะได้แก่โจทก์แต่ละคนคนละ ๖,๑๐๔,๓๕๖ บาท รวม ๕ คน เป็นเงิน ๓๐,๘๒๑,๗๘๐ บาท จำเลยทั้งสองไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกจึงหมดสิทธิเป็นผู้จัดการมรดก ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๓๐,๘๒๑,๗๘๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ฯ และขอให้เพิกถอนจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งห้าไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหลวงโทณะวนิกพันธ์ จึงไม่ใช่ทายาทโดยธรรมและไม่ได้เป็นผู้รับพินัยกรรม โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เคยฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดก และจำเลยทั้งสองก็เคยฟ้องโจทก์ที่ ๕ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ส่วนจำเลยที่ ๑ ถูกตัดจากกองมรดกโดยพินัยกรรม จึงเรียกร้องเอามรดกไม่ได้ และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ข้อกำหนดในพินัยกรรมไม่เป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองจัดการขายทรัพย์มรดกแบ่งคืนเงินแก่ผู้รับพินัยกรรมไปเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์ ชำระเงินจำนวน + บาท พร้อมดอกเบี้ย ฯลฯ ยกคำขอเพิกถอนจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก
โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ เป็นบุตรของหลวงโทณะวนิกพันธ์ เจ้ามรดกซึ่งได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๐๗ เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๐๗ ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๘ และทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกมีอยู่ในขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องจำนวน + บาท มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และฎีกาของโจทก์ทั้งห้า ดังต่อไปนี้
ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่า คดีโจทก์ทั้งห้าขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนางเคียว โทณะวนิกพันธ์ เป็นผู้จัดการมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์เจ้ามรดกตามคำสั่งของศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ ๔๕๖๗/๒๕๐๗ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๒๕๙/๒๕๑๖ มรดกรายนี้อยู่ในระหว่างจัดการแบ่งให้แก่ทายาท จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกและปกครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น โจทก์ทั้งห้าฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ แม้จะเกิน ๑ ปี นับแต่วันหลวงโทณะวนิกพันธ์ เจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองก็จะยกอายุความ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกย่อมมีอำนาจฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทจากจำเลยทั้งสองได้ ทั้งนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๕๔/๒๕๒๘ คดีระหว่างนางเคน เทียมราช โจทก์ นางผัน ไชยราช จำเลย ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ และที่ ๕ ฟ้องซ้ำและไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ปรากฏว่าโจทก์ที่ ๒ เคยฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกขอแบ่งส่วนทำบุญทำทานตามที่เจ้ามรดกสั่งไว้ในพินัยกรรม และโจทก์ที่ ๓ เคยฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกขอแบ่งมรดก แต่ศาลพิพากษายกฟ้องอ้างว่าโจทก์ที่ ๓ มิได้เป็นผู้มีชื่อถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด จึงไม่มีสิทธิรับทรัพย์ตามพินัยกรรม สำหรับโจทก์ที่ ๔ นั้น เคยยื่นคำร้องต่อศาลในคดีตั้งผู้จัดการมรดก หาว่าจำเลยทั้งสองและนางเกียวผู้จัดการมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์ประพฤติผิดหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ ๔ ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด ถือว่าถูกตัดมิให้รับมรดก ไม่มีส่วนได้เสียที่จะมาร้องขอให้ถอดถอนผู้จัดการมรดกได้ ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ ๔ ส่วนโจทก์ที่ ๕ นั้น ได้เคยฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกมาแล้ว และจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องโจทก์ที่ ๕ ขอให้ขับไล่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินกองมรดก จำเลยทั้งสองกับโจทก์ที่ ๕ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ศาลฎีกาได้ตรวจพิจารณาคดีต่าง ๆ ที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ พิพาทกับจำเลยทั้งสองโดยตลอดแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้พิพาทกันในประเด็นที่ว่าพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๘ เป็นโมฆะหรือไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่าพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๘ เป็นโมฆะ ทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจึงตกได้แก่ทายาทโดยธรรมนั้น จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องในประเด็นที่ศาลได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้อีก ฎีกาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า พินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๘ นั้น เป็นโมฆะทั้งฉบับหรือไม่เพียงใด และฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ว่า โจทก์ทั้งห้าถูกตัดมิให้รับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกโดยพินัยกรรมแล้วหรือไม่นั้น ปรากฏว่าพินัยกรรมของหลวงโทณะวนิกพันธ์ เจ้ามรดกมีข้อความดังต่อไปนี้ “ข้อ ๑. เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมลง บรรดาอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ เงินสดและทรัพย์สินอื่น ๆ รวมทั้งสิทธิทั้งหลายที่มีอยู่ขณะนี้หรือจะมีขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้าปลงโจทก์ให้แก่ผู้มีชื่อถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด ในขณะข้าพเจ้าถึงแก่กรรมลง รวมทั้งในชื่อของข้าพเจ้าด้วย โดยให้แต่ละคนทั้งในนามข้าพเจ้ามีส่วนเฉลี่ยตามจำนวนหุ้น คือให้คิดตามจำนวนหุ้นทั้งหมด รวมทั้งในชื่อของข้าพเจ้าแบ่งไปตามส่วน” เช่นนี้ เห็นว่าเจ้ามรดกได้แสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง และพินัยกรรมนี้ได้กำหนดตัวผู้รับพินัยกรรมโดยทราบตัวได้แน่นอนแล้วตามรายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด ที่มีอยู่ในขณะผู้ทำพินัยกรรมถึงแกความตาย ดังนั้นจึงถือได้ว่าพินัยกรรมในส่วนนี้ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๖ แล้ว มีผลใช้บังคับได้ พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๘ ย่อมไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับดังที่โจทก์ทั้งห้าฎีกาแต่อย่างใด ส่วนข้อกำหนดข้ออื่นในพินัยกรรมฉบับนี้จะตกเป็นโมฆะหรือไม่ มีผลใช้บังคับหรือไม่ เป็นข้อที่จะได้วินิจฉัยในลำดับต่อไป เมื่อปรากฏว่าขณะที่หลวงโทณะวนิกพันธ์ถึงแก่ความตายนั้น หลวงโทณะวนิกพันธ์เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทสากล จำกัด ด้วย จึงเท่ากับหลวงโทณะวนิกพันธ์ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ตนเองด้วยเป็นจำนวนเท่ากับอัตราส่วนของหุ้นที่หลวงโทณะวณิกพันธ์ถือหุ้นอยู่ เช่นนี้ เห็นว่าการที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ตนเองย่อมเป็นข้อกำหนดที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ และมาตรา ๑๖๔๖ จึงไม่มีผลบังคับ ฉะนั้นทรัพย์มรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์เฉพาะส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับย่อมตกทอกได้แก่ทายาทโดยธรรม สำหรับพินัยกรรมในข้อ ๒ ซึ่งมีข้อความว่าให้ผู้จัดการมรดกและผู้ถือหุ้นจัดการโอนทรัพย์มรดกให้เป็นการเพิ่มทุนบริษัทสากล จำกัด ตามอัตราส่วนของหุ้นที่แต่ละคนมีอยู่นั้น เห็นว่า ข้อกำหนดเช่นนี้เป็นเงื่อนไขของพินัยกรรมข้อ ๑ และเป็นเงื่อนไขที่ให้ผู้รับพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมข้อ ๑ นั้นแก่บุคคลอื่นคือ บริษัทสากล จำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๐๗ ดังนั้นการที่ข้อกำหนดพินัยกรรมข้อ ๒ มีเงื่อนไขให้ผู้รับพินัยกรรมโอนทรัพย์ที่ตนได้รับตามพินัยกรรมให้เป็นการเพิ่มทุนบริษัทสากล จำกัด จึงไม่มีผล โดยให้ถือว่าเงื่อนไขนั้นเป็นอันไม่มีเลย ผู้รับพินัยกรรมไม่จำต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่าผู้จัดการมรดกและผู้รับพินัยกรรมมิได้นำมรดกไปเฉลี่ยเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทสากล จำกัด จึงยังถือไม่ได้ว่า ผู้จัดการมรดกและผู้รับพินัยกรรมถูกตัดสิทธิมิให้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม ข้อ ๓. ซึ่งมีข้อความว่าถ้าผู้ใดซึ่งข้าพเจ้าปลงใจยกให้ดังกล่าวข้างต้นละเลยหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ข้าพเจ้ากำหนดไว้ข้างต้น ข้าพเจ้าขอตัดสิทธิมิให้รับมรดก และให้เอาส่วนนั้นไปเฉลี่ยให้แก่บุคคลอื่นที่ปฏิบัติตามคำสั่งและในนามผู้จัดการมรดกของข้าพเจ้า แต่ประการใด ฎีกาของโจทก์ทั้งห้าที่อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ถูกตัดสิทธิมิให้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมข้อ ๓. จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนพินัยกรรมข้อ ๔. ที่มีข้อความว่าหุ้นของผู้ตายที่มีอยู่ในขณะผู้ตายถึงแก่ความตายก็ดี หุ้นเพิ่มทุนในส่วนของผู้ตายก็ดีให้โอนใส่ชื่อผู้จัดการมรดกร่วมกัน เพื่อรับเงินปันผลจากบริษัทสากล จำกัด เพื่อทำบุญทำทานและเกื้อกูลหลาน ซึ่งไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสากล จำกัด นั้น เห็นว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมข้อนี้ไม่ใช่เรื่องตั้งผู้ปกครองทรัพย์และไม่ใช่เรื่องก่อตั้งทรัสต์เพราะผู้รับพินัยกรรมไม่ใช่ผู้เยาว์หรือบุคคลผู้ไร้ความสามารถ และไม่มีการยกทรัพย์ให้แก่ผู้จัดการมรดกแต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดหน้าที่ให้ผู้จัดการมรดกรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกไว้แทนผู้ตาย และจัดการทำบุญทำทาน และเกื้อกูลบุตรหลานที่ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสากำ จำกัด ดังนั้น ข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ทรัพย์สินที่ยกให้โดยพินัยกรรมระบุไว้ไม่ชัดแจ้งจนไม่อาจที่จะทราบแน่นอนได้ และเป็นการให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้กำหนดให้แก่บุตรหลานของเจ้ามรดกซึ่งไม่ได้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมให้มากน้อยเท่าใดตามแต่ใจของผู้จัดการมรดกเช่นนี้ ข้อกำหนดพินัยกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๐๖ (๓) เมื่อได้วินจฉัยมาแล้วว่า หลวงโทณะวนิกพันธ์ได้ทำพินัยกรรมเอกสารหมาย จ. ๘ ไว้ แต่พินัยกรรมดังกล่าวมีผลบังคับได้เพียงบางส่วนแห่งทรัพย์มรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๐ วรรคสอง บัญญัติให้ปันส่วนที่มิได้จำหน่ายโดยพินัยกรรมให้แก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย และตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๘ ก็มิได้มีข้อความระบุให้ตัดโจทก์ทั้งห้ามิให้รับมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์ในฐานะทายาทโดยธรรมโดยพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๘ ฎีกาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับทรัพย์มรดกของหลวงโทณะวณิกพันธ์เฉพาะส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับและเป็นโมฆะที่จะนำมาแบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ มีจำนวนเท่าใดนั้น….. ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทายาทโดยธรรมของหลวงโทณะวณิกพันธ์มีรวมทั้งสิ้น ๑๑ คน ซึ่งรวมทั้งโจทก์ที่ ๓ ด้วย ทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่ทายาทโดยธรรมมีจำนวน ๒๗,๑๒๓,๑๖๘ บาท ดังนั้น ทายาทโดยธรรมแต่ละคนจะได้รับส่วนแบ่งคนละ ๒,๔๖๕,๗๔๒.๕๔ บาท ซึ่งโจทก์ทั้งห้าได้รับส่วนแบ่งจำนวนนี้ด้วยคนละ ๒,๔๖๕,๗๔๒.๕๔ บาท รวมกันแล้วโจทก์ทั้งห้าได้รับส่วนแบ่งจำนวน ๑๒,๓๒๘,๗๑๒.๗๐ บาท โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องบังคับเอาแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์ได้….. ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งห้าขอให้ศาลเพิกถอนจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้นั้น เห็นว่า……. คำขอของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของหลวงโทณะวนิกพันธ์ ชำระเงินจำนวน ๑๒,๓๒๘,๗๑๒.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งห้า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share