คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปีและให้ส่งตัวไปกักกันอีก 3 ปี คดีถึงที่สุดก่อนใช้ พ.ร.บ. ล้างมลทินและประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยถูกจำคุกครบ 1 ปีแล้ว ระหว่างที่จำเลยถูกกักกันอยู่ มีพ.ร.บ. ล้างมลทินฯ และประมวลกฎหมายอาญา ประกาศใช้บังคับ เมื่อความผิดของจำเลยที่ต้องคำพิพากษามาแล้วนั้น เข้าเกณฑ์ที่ศาลอาจพิพากษาให้กักกันได้ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 41 โทษกักกันที่จำเลยได้รับอยู่จึงเปลี่ยนลักษณะมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 15 วรรคแรกแม้ตามประมวลกฎหมายอาญาไม่ถือว่ากักกันเป็นโทษ หากเป็นแต่เพียงวิธีการเพื่อความปลอดภัยที่จำเลยยังต้องรับต่อไปก็ตาม ก็ยังไม่ถือว่าจำเลยได้พ้นโทษกักกันนั้นไปแล้ว เพราะยังต้องถูกกักกันอยู่ โดยผลแห่งคำพิพากษาของศาล ความผิดในกรณีนี้ของจำเลยจึงยังไม่ถูกลบล้างตาม ม. 3 พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ พ.ศ. 2499 ศาลจะสั่งปล่อยจำเลยไปหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2502)

ย่อยาว

กรณีเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๑ ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๘๘, ๗๔, ๕๙ เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกันตาม พ.ร.บ. กักกันฯ พ.ศ. ๒๔๗๙ ม. ๘, ๙. มีกำหนด ๓ ปี คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙
ต่อมาวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๐๐ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โดยผลแห่ง พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ ชอบที่จะยกประโยชน์แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้เป็นคุณแก่ จำเลยโดยให้โทษกักกันของจำเลยสิ้นสุดลง
ศาลชั้นต้นสั่งว่าความผิดในคดีนี้และความผิดครั้งก่อน ๆ ของจำเลย เข้าเกณฑ์ที่จะต้องกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๔๑ และขณะนี้จำเลยยังต้องโทษกักกันอยู่ ยังไม่พ้นโทษไม่ได้รับผลตาม พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ และบัดนี้โทษกักกันที่จำเลยได้รับอยู่ก็ได้เปลี่ยนเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๑๕ แล้ว ไม่ถือเป็นโทษอาญา จะปล่อยจำเลยตามคำร้องของจำเลยไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
แต่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรปล่อยจำเลยไปตามคำร้องของจำเลย โดยอาศัย พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ ม.๓ กรณีที่จำเลยถูกกักกันอยู่บัดนี้ ไม่เข้าเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๔๑ คือ ไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดในคดีก่อน ๆ มาเลย ไม่ควรที่จะกักกันหรือใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่จำเลยต่อไปอีก
จำเลยฎีกาว่า พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ ม.๓ ได้ล้างมลทินความผิดของจำเลยครั้งก่อน ๆ ไปแล้ว ขณะนี้จำเลยเพิ่มกระทำผิดครั้งนี้ (คดีนี้) เป็นครั้งแรก ความผิดของจำเลยไม่เข้าเกณฑ์ที่จะต้องกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๔๑ และ ม.๑๕ วรรค ๒.
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าจำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุกและกักกัน คดีถึงที่สุดแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๙ และความผิดของจำเลยที่ต้องคำพิพากษามาแล้วนั้น แม้ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๔๑ ที่บัญญัติในภายหลังก็เข้าเกณฑ์ที่ศาลอาจพิพากษาให้กักกันได้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับอยู่จึงเปลี่ยนมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๑๕ วรรคแรกเท่านั้น และแม้ว่าตามประมวลกฎหมายอาญาจะมิได้ถือว่ากักกันเป็นโทษหากเป็นแต่เพียงวิธีการเพื่อความปลอดภัยที่จำเลยยังต้องรับต่อไปเท่านั้นก็ตาม ก็ยังเรียกไม่ได้ว่า จำเลยได้พ้นโทษกักกันไปแล้ว เพราะยังต้องถูกกักกันอยู่โดย ผลแห่งคำพิพากษาของศาล ความผิดในกรณีนี้ของจำเลยจึงยังไม่ถูกลบล้างโดย พ.ร.บ. ล้างมลทินฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ ม.๓ จริงอยู่ ตามพ.ร.บ. นี้ถือว่าความผิดครั้งก่อน ๆ ของจำเลยถูกลบล้างไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ความผิดในคดีนี้คดีเดียวก็ตาม แต่ขณะเมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้ จำเลยเป็นผู้เคยต้องโทษหลายครั้ง เข้าหลักเกณฑ์ที่จะพิพากษาให้ลงโทษกักกันจำเลยโดยสมบูรณ์ ทั้งคำพิพากษานั้นได้เด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว เมื่อไม่อาจนำประมวลกฎหมายอาญาหรือ พ.ร.บ. ล้างทลทินฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาพิจารณาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ดังกล่าวมานี้ คำพิพากษาที่พิพากษาถึงความผิดของจำเลยในคดีนี้ก็ใช้บังคับได้ต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๑๕ วรรคแรกนั้น พิพากษายืน

Share