คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4311/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้คดีนี้ จ. และ ผ. พยานโจทก์จะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสอง คำเบิกความของ จ. และคำให้การในชั้นสอบสวนของ ผ. จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันและถูกพิพากษาลงโทษไปแล้วในความผิดฐานเดียวกันกับจำเลยทั้งสอง ที่ระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกันลักทรัพย์ด้วย คำซัดทอดดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องบอกปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดแต่เฉพาะจำเลยทั้งสองเท่านั้น หากแต่เป็นการเบกความและให้การถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสอง ทั้งไม่มีเหตุจูงใจที่จะเบิกความและให้การเพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการกระทำของตนไม่ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้าน จ. พยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่คนร้ายรายนี้เพื่อช่วยเหลือจำเลยทั้งสอง ดังนั้นคำเบิกความและคำให้การของ จ. และ ผ. จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะรับฟังไม่ได้เสียเลยเพียงแต่มีน้ำหนักน้อย และจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของ จ. และ ผ. สอดคล้องกับคำเบิกความชั้นพิจารณาและสอดคล้องเชื่อมโยงกับคำให้การและคำเบิกความของ ว. พยานโจทก์อีกปาก ซึ่งนับว่าเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีใกล้ชิดในขณะเกิดเหตุ ฟังประกอบพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ และเรียกจำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335 กับให้จำเลยทั้งสองคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 38,000 บาท และเงินสดจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (7) (8) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 5 ปี กับให้จำเลยทั้งสองคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 38,000 บาท และเงินสดจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายจบ แก้วอุบล นางผิน สังกลับ กับคนร้ายอีกหลายคนร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานคือเงินสดจำนวน 67,000 บาท สร้อยคอทองคำ 1 เส้น หนัก 5 บาท กับพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ ราคา 35,000 บาท สร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น หนัก 2 บาท ราคา 10,000 บาท แหวนทองคำ 3 วง หนัก 3 สลึง ราคา 3,500 บาท รวมเป็นราคาทรัพย์จำนวน 115,500 บาท ของนายล่อง นวลจันทร์ ผู้เสียหาย โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์เข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดฐานลักทรัพย์กับนายจบและนางผินหรือไม่ โจทก์มีนายจบเบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุในวันเกิดเหตุนั้นเอง นายจบและนางผินกับจำเลยทั้งสองร่วมวางแผนที่ร้านอาหารของนางผินซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านผู้เสียหายเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย จากนั้นนายจบกับจำเลยทั้งสองเดินทางไปบ้านผู้เสียหาย นายจบไม่ได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหาย คงเฝ้าดูอยู่บริเวณหลังบ้าน จำเลยทั้งสองเข้าไปในบ้านผู้เสียหายประมาณ 20 นาที ก็กลับออกมาพร้อมกระเป๋าถือ 1 ใบ แล้วนายจบกับจำเลยทั้งสองเดินทางกลับมาที่ร้านอาหารที่นางผินอยู่ เข้าไปแบ่งเงินสดที่ลักมาได้จากบ้านผู้เสียหายภายในห้องนอนของนางวัชรี คงพันธระ เมื่อแบ่งทรัพย์สินกันบางส่วนแล้ว จำเลยทั้งสองก็ออกจากร้านนางผินไป วันรุ่งขึ้นนายจบและนางผินพร้อมทั้งจำเลยทั้งสองนำทรัพย์สินส่วนที่เป็นทองคำไปขายที่ร้านขายทองในอำเภอหาดใหญ่แล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งกันโดยนายจบได้นำส่วนแบ่งเป็นเงินสดจำนวน 8,000 บาท และพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ ไปฝากไว้กับนางขวัญดาว แก้วอุบล ผู้เป็นบุตร ส่วนเงินสดที่นางผินได้รับส่วนแบ่งมานางผินนำไปซื้อเตาแก๊ส เครื่องเสียงเพื่อใช้ในร้านอาหาร วันที่ 23 (ที่ถูกเป็น 22) สิงหาคม 2543 เจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นเข้าตรวจค้นร้านอาหารของนางผิน พบอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจสอบสวนขยายผล นายจบและนางผินรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยทั้งสองลักทรัพย์จากบ้านผู้เสียหายและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ นอกจากนี้นางวัชรีพยานโจทก์เบิกความสนับสนุนว่า พยานทำงานที่ร้านอาหารของนางผิน ในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองเข้ามาดื่มสุราและพูดคุยกับนายจบนางผินภายในร้าน จากนั้นจำเลยทั้งสองกับนายจบก็ออกไปจากร้านอาหารพร้อมกัน ครั้นเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยทั้งสองกับนายจบกลับมาที่ร้านอาหาร จำเลยที่ 2 ถือห่อผ้าขาวม้ามาด้วย แล้วจำเลยทั้งสอง นายจบกับนางผินเข้าไปในห้องพักของพยานสักครู่ก็ออกจากห้อง พยานเห็นนางผินถือกระเป๋าสะพายแบบผู้หญิงสีน้ำตาล นางผินพาพยานนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์นำกระเป๋าดังกล่าวไปทิ้งที่สะพานบ้านห้วยลี ภายหลังเกิดเหตุนางผินไปซื้อเครื่องเสียง และเตาแก๊สเข้ามาใช้ในร้านอาหาร และต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นร้านอาหารและจับกุมนายจบนางผินไปที่บ้านผู้เสียหายทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ร้านอาหาร เจ้าพนักงานตำรวจให้พยานไปนำชี้ที่บริเวณทิ้งกระเป๋าแล้วถ่ายรูปไว้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองมาได้ พยานชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยทั้งสองไปที่ร้านอาหารในคืนเกิดเหตุ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ สุวรรณรัตน์ พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า คืนเกิดเหตุได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุที่คนร้ายรื้อกระเบื้องมุงหลังคาบ้านผู้เสียหายออกแล้วเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย จากการสืบสวนพบว่าใกล้บ้านผู้เสียหายมีร้านอาหารชื่อพรทิพย์ มีวัยรุ่นแปลกหน้าเข้ามาที่ร้านผิดปกติ และหลังเกิดเหตุนางผินเจ้าของร้านซื้อสิ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องครัวเข้าร้านเป็นเงินจำนวนมาก จึงนำหมายค้นเข้าตรวจค้นร้านอาหาร พบอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก เมื่อเรียกนางผิน นายจบ และนางวัชรีมาสอบสวนขยายผล นายจบนางผินให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยทั้งสองลักทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุ เห็นว่า นายจบและนางวัชรีเบิกความยืนยันตรงกันว่า จำเลยทั้งสองมาที่ร้านอาหารของนางผินในคืนเกิดเหตุ แล้วจำเลยทั้งสองกับนายจบออกไปที่บ้านผู้เสียหายดัวยกันจำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย จากนั้นกลับมาแบ่งเงินสดกันที่ห้องของนางวัชรี เมื่อนายจบนางผินให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายหมาย จ.6 ถึง จ.8 และนางวัชรีพยานโจทก์ชี้สำเนาภาพถ่ายจำเลยที่ 1 และภาพถ่ายจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.9 และภาพถ่าย หมาย จ.10 ครั้นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 มาได้ นางวัชรีชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ไปที่ร้านอาหารในคืนเกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.14 แม้คดีนี้นายจบพยานโจทก์จะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยทั้งสองคำเบิกความของนายจบและคำให้การในชั้นสอบสวนของนางผินตามเอกสารหมาย จ.11 จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันและถูกพิพากษาลงโทษไปแล้วในความผิดฐานเดียวกันกับจำเลยทั้งสอง ที่ระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกันลักทรัพย์ด้วย คำซัดทอดดังกล่าวก็มิได้เป็นเรื่องบอกปัดความผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดแต่เฉพาะจำเลยทั้งสองเท่านั้น หากแต่เป็นการเบิกความและให้การถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสอง ทั้งไม่มีเหตุจูงใจที่จะเบิกความและให้การเพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการกระทำของตนไม่ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้าน นายจบพยายามเบิกความบ่ายเบี่ยงว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่คนร้ายรายนี้เพื่อช่วยเหลือจำเลยทั้งสอง ดังนั้น คำเบิกความและคำให้การของนายจบและนางผินจึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่จะรับฟังไม่ได้เสียเลย เพียงแต่มีน้ำหนักน้อยและจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนของนายจบและนางผินสอดคล้องกับคำเบิกความชั้นพิจารณาและสอดคล้องเชื่อมโยงกับคำให้การและคำเบิกความของนางวัชรีพยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีใกล้ชิดในขณะเกิดเหตุฟังประกอบพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ที่จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างฐานที่อยู่นั้น ไม่สามารถรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำให้การของนางวัชรีเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาจากคำมั่นสัญญา จึงไม่ถูกดำเนินคดีนี้ด้วยไม่ควรรับฟังนั้น จากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่านางวัชรีพยานโจทก์ได้เข้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดคดีนี้ไม่ ทั้งคำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความชั้นพิจารณาของนางวัชรีก็มีเหตุผลเชื่อมโยง ไม่มีลักษณะเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด จึงไม่เชื่อว่าคำให้การของนางวัชรีจะได้มาจากคำมั่นสัญญาดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ส่วนที่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยที่ 1 กับพวกนับว่าเป็นภัยต่อสุจริตชน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษและไม่รอการลงโทษให้นั้นเหมาะสมแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share